กระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยอาหาร
มีโอกาสได้คุยกับ
อาจารย์ดวงทิพย์ อาโรร่า (Duangthip Arora) ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด แม้จะได้รับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจแล้ว แต่เธอก็ยังเดินทางไปอบรมจากสถาบันทางอายุรเวทศาสตร์ ที่ประเทศอินเดีย และอบรมด้านโภชนาการและไดเอตจากวิทยาลัยที่ลอนดอน
"เราเรียนมาจากอินเดีย ตอนนั้นก็ทำเวิร์คช็อปแล้วรู้สึกว่าทุกคนไม่ค่อยมีความตระหนักว่า
โฮลิสติก (Holistic) คืออะไร มันช่วยร่างกายเราได้อย่างไร อายุรแพทย์แบบนี้มันเก่าและลึกซึ้งมาก และทุกวันนี้ยังใช้ได้ อย่างเรามีลูกเราก็รู้ว่าต้องทำอะไร เราไม่ต้องวิ่งไปโรงพยาบาล เรารู้สึกว่าความรู้ตรงนี้ช่วยเรามากๆ เด็กสมัยนี้ต้องพึ่งพาเคมีตั้งแต่เล็กๆ เลย ซึ่งมันน่าจะมีความรู้เดิมที่บรรพบุรุษเคยใช้มาหลายพันปีแล้ว อาจารย์ก็พยายามเอาอายุรแพทย์ที่อธิบายง่ายๆ มารวมกับโภชนาการสมัยใหม่ จะได้อาศัยให้เขาเข้าใจง่าย
เซลล์ของเรามันมาจากธรรมชาติทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยสุขภาพของเราก็ต้องมาจากธรรมชาติ เพราะเซลล์ของเรากับอาหารที่มาจากธรรมชาติ มันรู้ว่าจะย่อยยังไง ดูดซึมยังไง แต่อาหารที่มาจากเคมี มันจะทำให้ระบบของเรารวน ระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานไม่ได้เต็มที่ พอไม่เต็มที่ไวรัส แบคทีเรียก็จะเพิ่มขึ้น เพราะภูมิคุ้มจะไมได้ทำงานเต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันภูมิแพ้ไปจนถึงมะเร็งจะล้มเหลว นี่คือผลเสียของการที่เคมีมายุ่งกับเรามากไป
ในคนในชุมชนเมืองต่างประเทศในอเมริกาหรือในยุโรปบางเมือง คนจะมีอัตราของภาวะอ้วน มะเร็งเต้านม สูงกว่าประเทศเรา
ซึ่งเขาก็ยอมรับนะคะว่าวิถีชีวิตแบบเอเชียของเราทำให้คนเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่า เพราะว่าคนที่อยู่ในเมืองของเขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ความเป็นเมืองของเขาคือโมเดิร์นมากแล้ว โมเดิร์นแปลว่าอะไร แปลว่าไปไกลจากธรรมชาติ แต่ตอนนี้ที่กรุงเทพฯ ก็คล้ายๆ อเมริกาแล้ว อาหารรสชาติธรรมชาติเป็นยังไงเราลืมหมดแล้ว
แล้วเราก็กินอาหารกระป๋อง นมที่ปรุงแต่ง แล้วเราก็จะอยากกินหวานขึ้น เค็มขึ้น เพราะในอาหารกระป๋องจะมีโซเดียมสูง (โซเดียมคลอไรด์) แล้วมันจะไปปรับการรับรสของเราให้ต้องการเค็มมากขึ้นเรื่อยๆ จนป่วย หวานก็เหมือนกัน หวานเคมีจะทำให้เด็กต้องการหวานไปเรื่อยๆ ภายใน 2 ปีแรก อาจารย์ไม่ให้ลูกกินอาหารในแพ้กเก็จ แต่จะทำที่บ้านให้กิน ผักผลไม้สดๆ ไม่ต้องใส่เกลือ น้ำตาล เพื่อให้เขารู้จักรสชาติของธรรมชาติ ตอนนี้เขา 5 ขวบแล้วกินขนม 2 อันก็รู้สึกว่าหวานมากแล้ว ไม่อยากกินแล้ว
เวลาป่วย ไม่ต้องอาศัยยา อาศัยสมุนไพร
อาจารย์บอกอย่างนี้แล้วกัน เป็น Integrated Approch เหมือนที่อาจารย์ทำ เวลาลูกเริ่มจะเป็นหวัด ก็ทำซุปสมุนไพร พวกขิงข่าตะไคร้ แล้วก็กินน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งมีสารที่ทำให้ขี้มูกเราแห้งๆแต่บางทีไม่ไหวก็กินยาพาราเซตามอลก็ได้ แต่ไม่ต้องอาศัยยาก่อน บางทีเราเอาตะไคร้ กะเพรา มันก็มีปฏิกิริยาเหมือนกินยาเคมี เพียงแต่คนลืมไปแล้ว ไม่ใช้แล้ว กินยาเคมีนะ แต่ไม่อาศัย ไม่พึ่งพิงยาเคมีอย่างเดียว อย่างเวลาลูกไม่สบาย เขามีไข้สูงมาก ก็ให้กินสมุนไพรก่อน แล้วก็ให้ยาพารา ไม่งั้นเขาจะชัก หรือไม่เราก็เอาเราเอาเมล็ดผักชี แช่น้ำธรรมดาไม่ต้องอุ่นด้วย แช่ทั้งคืน อีกวันก็ให้เด็กกินน้ำนั้นทั้งวัน ไข้จะไม่สูงขึ้น สูงขึ้นก็ให้กินยาพารา แต่น้อยกว่าที่เขากำหนดไว้ ก็เป็นสมุนไพรที่หาได้ในห้องครัว
เรื่องพวกนี้ควรจะเริ่มตั้งแต่เด็ก เพราะในช่วง 1-3 ปีเป็นช่วงที่อวัยวะของเด็กกำลังสร้างตัวเอง และอวัยวะต้องการอาหารที่ดี ยิ่งธรรมชาติยิ่งให้ปราณสูงกว่า ถ้าคุณเลิกกินอาหารอย่างอื่นแล้วกินออร์แกนิกฟู้ดอย่างเดียว คุณจะมีพลังเพิ่มขึ้น
ไลฟ์สไตล์ที่เกื้อกูลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดี
- ออกกำลังกายเพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- คิดแง่บวกและอารมณ์ดี
- อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์
- ไม่เครียดทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
- นึกถึงบุญคุณของสิ่งต่างๆ รอบตัว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- แป้งขาว น้ำตาลขาว อาหารทอด อาหารแช่แข็ง (หรือใช้ไมโครเวฟ) แครกเกอร์ที่ขายอยู่ทั่วไป
- สารปรุงแต่งอาหารทั้งหลาย สี กลิ่น ผงชูรส สารกันบูด
อาหารที่สร้างภูมิต้านทานได้ดี
- โหระพา ขิง กระเทียม มะขามป้อม น้ำผึ้ง ข้าวกล้องออร์แกนิก เมล็ดอัลมอนด์ โยเกิร์ตที่ทำเอง ขมิ้น
- นมวัวแบบออร์แกนิก และน้ำมันเนย (เป็นน้ำมันที่คนอินเดียรู้จักในชื่อว่า Ghee หรือบางคนอาจจะคุ้นกับ
- คำว่าเนยใส) อาหารพวกนี้จะกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือเม็ดเลือดขาวและแอนตีบอดี้ในระบบต่างๆ ให้ทำงานต่อต้านการรุกรานจากไวรัสหรือเชื้อโรคได้อีก
อาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน
- อาหารร้อนและอาหารเย็น
- หวานและเปรี้ยว เช่น นมกับผลไม้ นมกับมะนาว
- โปรตีนกับโปรตีนด้วยกัน (โปรตีนสองอย่างใน 1 มื้อ) เช่น ไข่กับนม เนื้อไก่กับเนื้อหมู โยเกิร์ตกับปลา
- ผลไม้ควรกินหลังอาหาร 1 ชม.
***** ของที่แพงที่สุดไม่จำเป็นต้องดีที่สุด / นมที่มีอายุยาวจะมีคุณค่าน้อย *****
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก