15 ค่ำเดือน 11 ...ร่วมพิสูจน์ลูกไฟประหลาด!
บั้งไฟพญานาค ปรากฏการณ์แปลกริมน้ำโขง
"บั้งไฟพญานาค" เป็นลูกไฟประหลาดสีแดงอมชมพู ขนาดต่าง ๆ ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงสู่ชั้นบรรยากาศสูงประมาณ 70-100 ม. ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันออกพรรษา และที่ จ.หนองคาย เท่านั้น ซึ่งกว่า 20 ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวไทยทั่วประเทศและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเดินทางไปติดตามชมปรากฏการณ์นี้ปีละไม่น้อยกว่า 3 แสนคน ซึ่งแต่ละปีก็ไม่เคยผิดหวังกับการได้เห็นบั้งไฟพญานาคเพียงแต่จะปรากฏให้เห็นมากหรือน้อย เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่อาจกำหนดหรือจัดทำขึ้นได้โดยมือของมนุษย์
ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ที่ว่านี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายช่วงอายุคน โดยมีตำนานที่เล่าขานกันว่า เป็นลูกไฟ หรือ บั้งไฟของเหล่าพญานาค ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลและจุดขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันออกพรรษา ซึ่งสอดคล้องกับพุทธตำนานว่าวันออกพรรษาเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากสรวงสวรรค์ เพื่อมาโปรดโลกมนุษย์และเมืองบาดาล หลังจากที่เสด็จจำพรรษาและเทศนาโปรดพระมารดาเหล่าเทวดาทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ในช่วงเข้าพรรษารวม 3 เดือนนั่นเอง
แต่อีกมุมหนึ่งของความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเชื่อว่าลูกไฟที่ปรากฏให้เห็นเกิดจากก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ผิวดินบ้าง หรือเกิดจากการทับถมของอินทรียวัตถุบนผิวดินใต้น้ำบ้าง ซึ่งวันออกพรรษาเป็นวันที่ดวงจันทร์โคจรเข้าใกล้โลก จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดจากดวงจันทร์เพิ่มมากขึ้นทำให้ก๊าซธรรมชาติบนผิวดินใต้น้ำ หรือ อาจเกิดรอยแยกของผิวดินใต้น้ำจนทำให้ก๊าซใต้ผิวดินผุดขึ้นมาเหนือน้ำแล้วเกิดการสันดาปกับออกซิเจนจนกลายเป็นลูกไฟอย่างที่ปรากฏให้เห็นในทุกปี แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตเช่นเดียวกันว่าแล้วทำไมจึงมีปรากฏให้เห็นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันออกพรรษาปีนี้ ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค. 52 และ เป็นอีกวันหนึ่งที่หลายคนได้วางโปรแกรมการเดินทางไว้แล้วที่จะไปชมปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ที่ จ.หนองคาย ซึ่งในปีนี้ จ.หนองคาย ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้เตรียมการไว้เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกไว้แล้วเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมประเพณีท้องถิ่นเพื่อการท่องเที่ยวที่หลากหลายเช่นกัน
นายณรงค์ศักดิ์ ลิมโพธิ์ทอง นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัย อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย กล่าวว่า ที่โพนพิสัยเป็นจุดที่ประชาชนติดตามชมบั้งไฟมากที่สุด ซึ่งนอกจากบั้งไฟพญานาคจะเกิดในวันออกพรรษา คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 แล้ว บางปียังเกิดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 หรือในวันถัดมาอีกวันหนึ่ง ในปีนี้เทศบาลฯ ได้จัดกิจกรรมประเพณีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกหลายอย่าง เช่น การทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ พิธีบวงสรวงเทพยดา พญานาค ส่วนในลำแม่น้ำโขงจะจัดให้มีการไหลเรือไฟโบราณ การลอยกระทงสายซึ่งจะใช้กะลามะพร้าวนับหมื่น ๆ อันมาร้อยเป็นสายให้เป็นกระทงสายที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลกอีกด้วย โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-7 ต.ค. 52
ด้าน นายทรงพล โกวิทศิริกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย เปิดเผยว่า ตัวเมืองหนองคายแม้ว่าจะไม่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค แต่ก็เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่งานออกพรรษาถือเป็นประเพณีประจำปีที่สำคัญของประชาชนในเขตเทศบาล ดังนั้น ในวันออกพรรษาทางเทศบาลร่วมกับชุมชนในเขตเทศบาลจึงร่วมกันจัดงานประเพณีขึ้นทุกปี จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 1-7 ต.ค. 52 โดยในงานจะมีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร การแสดงแสง สี เสียง เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค (วันที่ 2-3 ต.ค.) ถนนอาหารและอื่น ๆ
ขณะที่ นายภัลลพ พิลา นอภ.สังคม เปิดเผยว่า ที่ อ.สังคม มีจุดชมบั้งไฟพญานาค ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทุกปี คือ ที่บ้านผาตั้ง ต.ผาตั้ง และเนื่องจาก อ.สังคม เป็นพื้นที่ที่ปลูกกล้วยน้ำว้ามากที่สุดใน จ.หนองคาย ซึ่งในวันออกพรรษา อ.สังคม ร่วมกับเทศบาลตำบลสังคม จะจัดงานเทศกาลกล้วยน้ำว้าขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 ต.ค. โดยในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การประกวดขบวนแห่เทศกาลกล้วยน้ำว้า ประกวดธิดากล้วยน้ำว้า ประกวดกล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าแปรรูป และการแข่งขันเรือยาว ประเพณีไทย-ลาว
ทางด้าน นางธัญภา นิโครธานนท์ ผอ.สนง.ททท.อุดรธานี กล่าวว่า งานออกพรรษา และชมบั้งไฟพญานาค ที่ จ.หนองคาย ทาง ททท.ได้ให้การสนับสนุน และ ส่งเสริมด้านการประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ รวมทั้งการลงในเว็บไซต์ของ ททท. เป็นภาษาต่างประเทศไปทั่วโลก โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวและชมบั้งไฟพญานาคไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว หรืออาจจะมีเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
ส่วน พล.ต.ต.พิสัณห์ อาวีกร วรเทพนิตินันท์ ผบก.ภ.จว.หนองคาย เปิดเผยว่า จากสถิติพบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมบั้งไฟพญานาคเมื่อปีที่แล้วเกือบ 4 แสนคน และจากการติดตามประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย และจากข้อเสนอแนะของนักท่องเที่ยวเมื่อปีที่ผ่านมา ได้ถูกนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านการจราจรอย่างเต็มที่ ด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างตำรวจ ทหาร ปกครอง อปพร. จนถึงประชาชนทั่วไปตลอดเส้นทาง ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรองอีกด้วย
ปิดท้ายที่ นายกวี กิตติสถาพร ผวจ.หนองคาย กล่าวว่า ในช่วงออกพรรษาทุกปี ได้เกิดปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ขึ้นพร้อม ๆ กันในหลายอำเภอ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยเฉพาะ อ.โพนพิสัย อ.รัตนวาปี อ.บึงกาฬ และ อ.สังคม ซึ่งนอกจากจะได้ชมบั้งไฟพญานาคแล้ว แต่ละอำเภอยังได้จัด กิจกรรมประเพณี รวมทั้งการจัดการแสดงจำหน่ายสินค้าโอทอปที่มีชื่อเสียงของแต่ละอำเภอและสินค้าราคาถูกที่ สนง.จัดขึ้นอีกด้วย โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา และปีนี้ จ.หนองคายทุกภาคส่วนได้มีการประชุมวางแผนเพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในทุกด้านตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวใน จ.หนองคาย แน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://travel.kapook.com/view5263.html
ตำนาน ความเชื่อ พญานาค
ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้ายทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกันเมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุลหลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจึงได้เป็นผู้ชนะ ปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่าแม่น้ำของ ฝ่าย สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทยการสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาค จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค และมีลักษณะ 31 วัน โดยข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล
เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ
- ขณะเกิด
- ขณะลอกคราบ
- ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค
- ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ
- ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้นลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
http://free-from.blogspot.com/
http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=2933