นางเอกนัยน์ตาน้ำผึ้ง 'เพชรา เชาวราษฎร์' เปิดใจสาเหตุยอมเผยโฉมครั้งแรก ถ่ายโฆษณาเพื่อช่วยสังคม หลังเก็บตัวในโลกมืด มานานถึง 30 ปี เผย มี 'ชรินทร์ นันทนาคร' เป็นหลักในชีวิต ...
หลังจากที่ "เพชรา เชาวราษฎร์" อดีตนางเอกหนังชื่อดัง ปิดตัวเองเพราะดวงตาบอดสนิท อันเนื่องมาจากการถ่ายภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 16 ปี จนทำให้ดวงตาถูกแสงสปอตไลต์ทำลาย จากนั้นอดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ก็ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกเลย เป็นเวลายาวนานร่วม 30 ปี ในที่สุด นางเอกตลอดกาลในหัวใจแฟนหนังชาวไทย ก็ยอมปรากฏโฉมให้คนไทยได้เห็นเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์โฆษณาเครื่องสำอาง "มิสทิน" ที่ได้ติดต่อทาบทามให้เพชรามาถ่ายโฆษณา เพื่อหาเงินช่วยเหลือมูลนิธิเพื่อคนตาบอดฯ
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. เพชรา เชาวราษฎร์ ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐ เป็นครั้งแรก โดยนางเอกขวัญใจคนไทยตลอดกาล ซึ่งขณะนี้มีอายุ 66 ปี เปิดเผยว่า เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ที่ตนหายเงียบไปจากวงการ ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนั้น เนื่องจากป่วยมาก ต้องรักษาดวงตาและรักษาอาการป่วย จากผลข้างเคียงอีกเยอะมาก ตอนนี้อาการดีขึ้น เรียกว่าเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว แต่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถกลับคืนมาใช้งานได้เหมือนเดิมอีกแล้ว เป็นอาการบอดสนิทไม่เห็นแสงสว่างใดๆ ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเวลาใด เป็นกลางวันกลางคืน
ส่วนสาเหตุที่ตนยอมถ่ายโฆษณาให้เครื่องสำอางมิสทินครั้งนี้ เพชรา กล่าวเปิดใจว่า เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนเคยพูดว่า อยากตั้งมูลนิธิดวงตาเพชรา เชาวราษฎร์ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เลยค้างคาใจมาตลอด ประกอบกับหลายคนก็ถามถึงมูลนิธิดังกล่าว เมื่อมิสทินมีข้อเสนอมาพอดีมันโดนใจ เลยคิดว่าน่าจะออกมาทำอะไรบ้าง ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรก็คงอยู่ไปแบบเปล่าๆ เลยรับข้อเสนอ เพื่อจะได้ช่วยคนอื่นที่มีปัญหาเหมือนตนเอง สร้างประโยชน์ให้แก่คนอื่นได้บ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาต้องทนทุกข์กับการมองไม่เห็นมามาก เลยอยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่ประสบปัญหาเดียวกับตนบ้าง
อดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง กล่าวอีกว่า การกระทำครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวกับเงินทอง แต่อยากทำกุศลจริงๆ เพราะที่ผ่านมาก็อยู่แบบเงียบๆ อยู่กับความสงบก็มีความสุขดีอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ในสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ คงไม่มีความสุขอย่างแท้จริง จึงอยากทำ ประโยชน์ให้แก่สังคมบ้าง คิดว่าถ้าอยู่เฉยๆ ตายไปมันก็สูญเปล่า เมื่อลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างนี้ รู้สึกมีกำลังใจและอบอุ่น รู้สึกว่าตัวเองก็มีค่า คืออยู่กับความเจ็บป่วยและความมืดมานาน จนรู้สึกว่าคงจะเลือนหายไปจากใจคนไทยแล้ว คิดว่าจะมีใครสักกี่คนที่ระลึกถึงตน แต่พอคิดจะทำงานตรงนี้ ทุกคนรอบข้างต่างก็ดีใจ บอกว่าจะออกมาในสภาพไหนก็ออกมาเถอะ ขอแค่ได้เห็นก็ดีใจแล้ว จึงเป็นเหมือนกำลังใจ คือทุกคนบอกอยากเห็น เพราะหายไปนาน ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร รู้สึกขอบคุณทุกท่านที่ยังระลึกถึง ตนเจ็บป่วยมานาน ตอนนี้ค่อยยังชั่วขึ้น ถึงแม้ว่าดวงตาจะเป็นสิ่งเดียวที่เอากลับคืนมาไม่ได้ สำหรับการคาดหวังในเสียงตอบรับ ไม่กล้าคาดหวังอะไรมาก เนื่องจากหายไปนานมาก หวังแค่คนที่ชมโฆษณาแล้วจะเมตตากับลิปสติก ไดมอนด์ นัมเบอร์วัน ของมิสทิน อันนี้ ถ้าขายได้เยอะๆ เราก็ชื่นใจ จะได้มีเงินทำบุญช่วยมูลนิธิเพื่อคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เยอะๆ
เมื่อถามถึงเรื่องอาการป่วย เพชรา กล่าวว่า ตั้งแต่ถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก คือ เรื่องบันทึกรักพิมพ์ฉวีคู่กับมิตร ชัยบัญชา เมื่อปี 2505 ขณะที่อายุ 19 ปี จากนั้น ก็รับงานแสดงไม่หยุด กระทั่งเมื่อช่วงปี 2515 เริ่มมีอาการ ดวงตาแพ้แสงไฟสปอตไลต์ จึงไปรับการรักษา แต่เนื่องจาก มีคิวถ่ายต่อเนื่อง ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับ ว่าต้องร้องไห้เยอะ เพราะนางเอกสมัยก่อนต้องน่าสงสาร อีกทั้งตนต้องขับรถไปถ่ายหนังเอง กระทั่งอาการหนักจนถึงขั้นตาบอด ประมาณปี 2520-2521 โดยตอนถ่าย เรื่องไอ้ขุนทอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตการ แสดง ก็เริ่มมีปัญหาแล้ว แต่เรื่องแผ่นดินแห่งความรักและเรื่องลูกเจ้าพระยา อาการก็เริ่มหนัก แต่ก็ยังฝืนใจไป ถ่ายจนจบ จากนั้นก็หยุดงานทั้งหมด ทำการรักษาดวงตาอย่างจริงจัง หมอให้ยามาเป็นชุดๆ ก็ทาน ตอนทานก็รู้สึก ดีขึ้น สบาย ทานอาหารได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็รู้สึกชอบ แต่พอทานนานเข้าๆ ก็เริ่มอ้วนผสมบวม อาการก็หนักขึ้นถึงขั้นปวดตามกระดูก กลืนน้ำไม่ลง หายใจไม่ออก เพราะบวมจนลำคอตีบตัน
เพชรา กล่าวอีกว่า ตอนนั้นคิดว่าตัวเองตายแน่ ไม่รอดแน่ แต่สุดท้ายเค้าก็เว้นช่องให้ได้หายใจ มันเลยไม่ตาย เหมือนกับเค้ายังไม่ให้เราหมดกรรม ช่วงเวลาที่อยู่ ระหว่างเส้นเป็นกับเส้นตายนั้น คิดว่าจะไม่บอกใคร ถ้าตาย ก็ขอตายอย่างเงียบๆ ไม่อยากบอกให้ใครวิตกทุกข์ร้อน ต้องร้องไห้ให้เรา แต่ไม่ตายนี่สิ ทีนี้พอไม่ตาย ต้องกินยา รักษาตัวจนขนขึ้นใบหน้าและแขนขาหน้าแข้ง แต่ผมกลับ ร่วง ตัวก็บวมมากเลย เป็นอาการข้างเคียงที่ต้องรักษาตัวเอง เป็นเวลาถึง 16-17 ปี ถึงค่อยยังชั่วขึ้น ปัจจุบันนี้ก็เรียก ว่าหายเป็นปกติแล้ว ยกเว้นตาที่เราเอากลับคืนมาไม่ได้ เหมือนเดิมอีก ส่วนสุขภาพก็ต้องเช็กร่างกายทุก 3 เดือน ในตอนนี้ก็มีแต่ป่วยเป็นโน่นนี่นิดๆ หน่อยๆ อย่างหมอ บอกมีนิ่วในไตข้างซ้าย คงเกิดจากทานยา ยังดีที่เป็นข้าง เดียวก็รักษากันไป เรื่องใหญ่คือเรื่องตาที่ไม่เห็นเลย เวลา ปิดหรือเปิดไฟก็ไม่รู้สึก บางครั้งหลอดไฟอยู่ในที่ต่ำหน่อย เราก็ยังเอามือไปคลำดูว่ามันร้อน หรือเย็น เพื่อจะได้รู้ว่าเปิดหรือปิดอยู่
เมื่อถามถึงกิจวัตรประจำวัน อดีตนางเอกหนังขวัญใจ ชาวไทยตลอดกาลกล่าวเปิดใจอีกว่า เป็นคนตื่นเช้า ประมาณ ตี 5 เศษ แล้วมานั่งจิบกาแฟ จบของที่จะใส่บาตรพระ โดยให้คนที่บ้านออกไปใส่บาตรพระแทน เพราะก่อนหน้านี้ เคยออกไปใส่บาตรเอง ปรากฏว่า ถูกขโมยถ่ายภาพ แล้ว เป็นช่วงที่ตนไม่สบายมาก สภาพร่างกายค่อนข้างทุเรศ เลยใช้วิธีแค่จบของที่จะใส่บาตรเท่านั้น หลังจากนั้นตนก็จะเดินเปิดม่านหน้าต่างในบ้านทุกบานเอง แล้วก็ปิดไฟ ทุกดวงในบ้าน อาบน้ำสวดมนต์ไหว้พระ และทานอาหารเช้า กลางวันก็มีโทรศัพท์คุยกับเพื่อน หรือไม่ก็เพื่อนโทรศัพท์ มาคุยบ้าง แล้วก็นั่งฟังทีวีเพราะดูไม่ได้ต้องใช้ฟังเสียงเอา ฟังข่าวสารบ้านเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องติดตามไม่อย่างนั้นโง่ตาย ทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราไม่ได้มืดมน จนเกินไป
เพชรา กล่าวอีกว่า สภาพจิตใจช่วงนี้ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ สงบมากขึ้น สมัยที่ดวงตามืดบอดใหม่ๆ รู้สึกร้อนรุ่ม ฟุ้งซ่าน ยอมรับในสภาพที่เป็นอยู่ไม่ได้ จะมอง ในแง่ร้ายว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร จนมาถึงวันนี้เหตุการณ์ ทั้งหลายทำให้รู้สึกว่า ไม่มีอะไรร้ายแรง หรือน่าวิตกอะไร มากมายอีกแล้ว โชคดีที่ยังมีคุณชรินทร์ นันทนาคร เป็นหลัก ยึดให้ตนได้ความอบอุ่น มีอะไรก็พูดให้เข้าใจ ไม่ให้มีค้างคาใจ คอยให้กำลังใจ ทุกปีในวันเกิดของตน วันที่ 19 ม.ค. ทางชมรมรักษ์เพลงชรินทร์ก็จะมาจัดงานฉลองวันเกิดให้ ที่บ้าน เป็นความสุข และความประทับใจอย่างมาก เลยปลง ได้ว่าชีวิตคนเราก็เท่านี้ จึงอยากทำอะไรให้เป็นประโยชน์ แก่สังคมบ้าง
ส่วนบรรยากาศในการถ่ายทำโฆษณานั้น เพชรา เผยว่า ก่อนถ่ายก็ค่อนข้างเครียดเพราะต้องฟิตร่างกายให้ผอมลงมาเหลือน้ำหนักราว 47 กก. แล้วด้วยความที่ตนห่างจากงานมานานมาก จึงกังวลไปหมดทุกอย่าง แต่ก็มีเพื่อนหลายคนให้กำลังใจว่าทำได้ ดูดีแล้ว ทางมิสทินก็บอกว่าเค้าจัดทีมเสื้อผ้าหน้าผมที่ดีที่สุดมาให้ แต่ตัวเองก็ไม่เห็นตัวเองหรอก ถึงตอนแสดงเค้าให้แสดงอะไรก็ทำไปตามนั้น ก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อนยังถามเลยว่า เค้าทำให้อะไรบ้าง ต้องพูดหรือเปล่า ใส่แว่นตามั้ย นั่งพูดหรือยืนพูด หรือใส่หมวกแล้วเห็นแต่ปาก หลังจากถ่ายโฆษณาแล้วก็ยังมีถ่ายภาพนิ่งด้วยโดยคุณศักดิ์ชัย กาย เจ้าของนิตยสารไฮโซชื่อดัง "ลิปส์" ซึ่งถ่ายไปแล้ว
เมื่อถามว่าจะหวนคืนวงการอีกหรือไม่ เพชรา ตอบว่า คงไม่ไหว เพราะตามองไม่เห็น เดี๋ยวไปถ่วงคนอื่น คือการถ่ายทำมันจะมีจุดบล็อกกิ้ง แต่เรามองไม่เห็น ถึงตนจะจำบทได้ แต่ก็ไม่เห็นจุดหมายที่ต้องพูด ด้วยมันก็ลำบากเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าคิดถึงวงการบันเทิงมั้ย ตอนแรกที่ไม่สบายมาก ตอนที่อยู่ในช่วงจะเป็นหรือจะตาย ตอนนั้นปิดตัวเองจากข่าวสารหมดเลย ทำใจอยู่พักใหญ่ เพราะไม่อยากอาลัยอาวรณ์ ถ้าจะตายก็ขอตายตาหลับไม่อยากเอามาคิด จนกระทั่งไม่ตายแน่แล้วจึงต้องหาทางรักษาตัวเอง นั่นแหละจึงปรับตัวปรับใจได้แต่ก็นานมาก จนเมื่อปี 2540 ค่อยยังชั่วขึ้นมาก ต่อมาคุณวิทยา ศุภพรโอภาส ก็ให้โอกาสไปทำหน้าที่ดีเจคู่กับคุณตุ๋ย มหาชัย ที่คลื่นลูกทุ่งเอฟเอ็ม ทำอยู่ 2-3 ปี แล้วก็ไปทำคลื่นโน้นคลื่นนี้อีกก็ไปกับคุณวิทยา จนตอนนี้เขาไปอยู่
ที่มา ไทยรัฐ