สินน้ำใจจากนายตัวแสบ
สายลมของต้นฤดูร้อนพัดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องเรียน หน้าต่างบางบานเอียงกะเท่เร่จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ ครูสาวผมบ๊อบสั้น ผิวขาว รูปร่างผอมสูง ความสวยพอไปวัดไปวาได้เท่านั้น ทำได้เพียงเดินไปจับบานหน้าต่างแล้วปล่อยไว้ดังเดิม เธอยังไม่กล้าเสนอความคิดเห็นใดๆ เพราะเพิ่งมารายงานตัวเมื่อวานและทำการสอนวันนี้เป็นวันแรกนั่นเอง
เมื่อเช้านี้ครูพิมแนะนำตนเองกับนักเรียนชั้น ป.๑ พร้อมกับเรียกชื่อนักเรียนก่อนทำการสอน และสอบถามชื่อเล่นของทุกคนจนเสร็จสรรพ จนจำนักเรียนได้ทุกคนภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เพราะนักเรียนมีเพียง ๑๒ คนเท่านั้น นักเรียนตัวเล็กๆที่มีชาย ๕ คน หญิง ๗ คน รู้สึกชื่นชอบและหลงใหลครูใหม่ของตนเองมาก แม้กระทั่งเวลาที่ครูเดินไปเข้าห้องน้ำ เด็กๆยังวิ่งตามเป็นพรวน ทั้งที่ครูสาวบอกว่าไม่ต้องตามไป ให้ทำงานรออยู่ที่ห้อง แต่เด็กๆไม่มีใครยอมฟังเพราะกลัวครูจะลืมตนเองขณะที่เข้าห้องน้ำนั่นเอง ทั้งๆที่ในใจของครูสาวรู้สึกรำคาญและรู้ดีว่าไม่มีระเบียบ อีกทั้งยังเกรงครูใหญ่ที่เคยสอนชั้น ป.๑ มาก่อนที่ตนจะได้บรรจุท่านจะตำหนิเอา แต่ครูสาวก็อดทนไว้ในใจ ตอนนี้ต้องวางฟอร์มครูสาวใจดีให้เด็ก ป.๑ ตายใจไปก่อน แต่อีกไม่นาน เดี๋ยวเหอะ! จะหาว่ายายผอม โหดไม่เตือน!
เวลา ๑๒.๓๐ น. ครูพิมเดินเท้าจากบ้านพักครูมาถึงห้องเรียนชั้นป.๑ พอดิบพอดี หลังจากไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านพักครู ที่ตนเองและครูสาวๆรุ่นพี่อาศัยอยู่ร่วมกัน บ้านพักครูหลังเล็กๆนั้น มีครูนางสาวอาศัยอยู่รวมกันถึงห้าคน เพราะฉะนั้นแม้ว่าครูใหญ่จะรูปร่างอ้วน เตี้ย ผิวคล้ำ หน้าเหลี่ยม แต่ใบหน้าและดวงตามีแววแห่งความเมตตาปราณีแฝงอยู่ตลอดเวลานั้น ท่านก็เป็นชายหนุ่มรูปหล่อเพียงคนเดียวของโรงเรียนแห่งนี้เท่านั้น เพราะไม่มีภารโรงและครูผู้ชายมาให้เปรียบเทียบความหล่อ นอกจากนั้นยังไม่พอ ท่านยังหล่อที่สุดในบ้านเพราะท่านมีลูกสาวสามคนโดยที่ไม่มีลูกชายเลย ครูพิมรีบมาตรวจงานนักเรียนเพราะเป็นครูใหม่ไฟแรง อันที่จริงแล้วเธอก็อยากนั่งรับประทานมะม่วงดองกับครูสาวๆด้วยกัน และตนเองก็เปรยว่าอยากรับประทานมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ต้นสูงเพียงแค่สองเมตร แต่มีผลดกมากซึ่งครูใหญ่ปลูกไว้ อยู่หน้าบ้านพักครูนั่นเอง แต่พี่เฉลาบอกว่ารอให้ผลโตกว่านี้ก่อน ค่อยรับประทาน ซึ่งตนเองก็เห็นด้วย
เวลา ๑๓.๓๐ น. ครูพิมออกมายืนอยู่หน้าประตูห้อง ป.๑ พร้อมกับชะเง้อมองหานักเรียนชายที่หายไปจำนวน ๒ คน หากภายใน ๑๐ นาที เด็กทั้งคู่ยังไม่มี เห็นทีเธอจะต้องยืมรถจักรยานนักเรียนพาคนที่รู้จักบ้านของทั้งคู่ไปตามจนถึงบ้านแน่นอน อันที่จริงพี่อ๊อดก็มีรถจักรยานยนต์ แต่ว่าครูพิมยังขับรถจักรยานยนต์ไม่เป็น เพราะที่บ้านของตนเองยากจนไม่มีรถจักรยานยนต์นั่นเอง และแม้ว่าจะเคยซ้อนท้ายเพื่อนในช่วงเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่เคยขอร้องให้เพื่อนฝึกหัดให้ขับ เพราะไม่ใช่ของตนเอง ไว้รอให้กู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูได้ก่อน เธอจะต้องซื้อรถจักรยานยนต์คันแรกของชีวิตให้ได้ “รันดี้กับตาเปี๊ยกหายไปไหนนะ...” ครูพิมกล่าวเปรยๆขึ้น “พวกเขาหลบเรียนมั้งคะคุณครู” เด็กหญิงปุ๊กกี้แก้มป่องหน้าตาสดใสและพูดเก่งที่สุดในชั้น กล่าวแสดงความคิดเห็น “เกเรแบบนี้ต้องโดนทำโทษ” ครูพิมกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ไม่จริงจัง
เวลา ๑๓.๔๐ น. เด็กชายเปี๊ยกและเด็กชายรันดี้มายืนอยู่หน้าประตูห้องเรียน “ขออนุญาตเข้าห้องครับ” เด็กทั้งคู่กล่าวพร้อมกัน “พวกเธอหายไปไหนมา!” ครูพิมกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วนๆ พร้อมกับเดินตรงมาหาเด็กทั้งคู่ “พวกผมไปเอามะม่วงมาฝากคุณครูครับ” เด็กชายเปี๊ยกยื่นมะม่วงพวงใหญ่ส่งให้ครูพิม ครูสาวอ้ำอึ้ง จากที่ขึ้งโกรธก็ผ่อนคลายลง ครั้นจะไม่รับของฝากก็เกรงว่าเด็กจะเสียน้ำใจ อีกทั้งตนเองยังนึกอยากรับประทานมะม่วงน้ำปลาหวานอยู่พอดี “ขอบใจพวกเธอมาก แต่คราวหลังอย่าหายไปในเวลาเรียนแบบนี้ มันอันตรายรู้ไหม” ครูพิมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ครับ!” เด็กทั้งคู่รับปากอย่างแข็งขัน “ทำไมคุณครูไม่ทำโทษพวกเขาคะ” เด็กหญิงปุ๊กกี้กล่าวแทรกขึ้นด้วยอาการของคนหัวหมอ “ก็....คือ...เขาเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก...เราควรให้โอกาสเขาแก้ตัว” ครูพิมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง “หนูว่าเพราะพวกเขาเอาของมาฝากคุณครูต่างหาก คุณครูถึงไม่ทำโทษ” ปุ๊กกี้ยังคงไม่เลิกหัวหมอ “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เอาของมาฝากในวันนี้ ครูก็จะยังไม่ทำโทษเขา ครั้งแรกนี่เพียงตักเตือนก่อน ถ้าปุ๊กกี้ทำผิดก็เช่นกัน ครั้งแรกก็ต้องตักเตือนก่อน เข้าใจนะคะ” เมื่อเด็กหญิงปุ๊กกี้เลิกหัวหมอแล้ว ครูพิมจึงหันมาถามเด็กชายทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ว่าแต่เรา...ไปเอามะม่วงมาจากไหนกันคะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ มันอันตราย ถ้าเกิดไปปีนต้นมะม่วงแล้วตกลงมาจะทำยังไงกัน” เด็กทั้งคู่ยิ้มแป้นก่อนที่รันดี้จะตอบว่า “ไปเด็ดเอามาจากต้นที่อยู่หน้าบ้านพักครูครับ มันอยู่ต่ำๆแค่นั้นเอง เอาไม่ยากหรอกครับ”