Advertisement
คำทำนายนอสตราดามุส
ชื่อของ นอสตราดามุส โหรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอายุเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้า นี้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่นการไฮแจ็คเครื่องบินพาณิชย์ที่บรรทุก ผู้โดยสารร้อยกว่าชีวิตก่อนจะพุ่งเข้าชนอาคารธุรกิจชื่อดังของโลกอย่างเวิล์ด เทรดเซนเตอร์ในกรุงนิวยอร์ก เหตุการณ์หลังจากการชนนั้นถูกนำไปผูกกับคำทำนายของเขาอย่างช่วยไม่ได้ นอสตราดามุสเขียนเอาไว้ที่เซ็นจูรี่เล่ม 6 โคลงบทที่ 97 ว่า "ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45 เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา" "มาบัส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า จะมีการฆ่าหมู่คนและ สัตว์อย่างสยดสยอง ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้น เมื่อดาวหางโคจรผ่านมา.....ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตร พวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง...."
นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะ นอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่ายามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิล์ดเทรด ไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ เพราะหัวของเครื่องบินที่มีปีกนั้น ดูเผินๆ ก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูกไฟไปทั่วฟ้า
ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็นดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อันเป็นที่ตั้งของ มหานครนิวยอร์กเหมือนกัน แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่าจะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อมาบัสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้น ของ USaMA Bin laden (อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่าการตายของบินลาเดนจะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพและจะเป็นสงคราม ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือสหรัฐนั่นเอง
ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้ายจนกระทั่งเกิดการตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศ ที่สหรัฐภาคภูมิใจนักหนา เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะเมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มาตรการแซงชั่นป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆ จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้มีคนพยายามตีความว่า นอสตราดามุส มั่ว ฝันเฟื่อง คำทำนายของเขาดูจะไม่เป็นจริง ส่วนใหญ่ที่คนเชื่อก็เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว และไปทึกทักตามที่นอสตราดามุสเขียนเอาไว้เอง เชื่อว่าหลายคนก็ยังหวังว่าคำทำนายของโหรบรรลือโลกคนนี้ จะผิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะคงไม่มีใครอยากจะเจอกับสงครามโลกที่กินเวลายาวนานกว่า 50 ปีอย่างแน่นอน เนื่องจากเขากล่าวเอาไว้ในอีกโคลงว่า ยุคของสันติ จะกลับมาอีกครั้งในปี 2055 ขออย่าให้คำทำนายเป็นจริงเลย!!
นอสตราดามุส ผู้ไขปริศนาจักรวาล หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ บนโลกใบนี้ ท่านคงได้รับทราบข้อมูลข้างต้นมาโดยตลอด นั่นเป็นเพียงตัวอย่างคร่าว ๆ ที่ไม่ได้รวมถึง สภาพเศรษฐกิจของ หลายประเทศ ที่กำลังทำท่าจะประสบกับปัญหากันอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นคงเป็นความน่าเห็นใจ และสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมโลกของท่าน แต่ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น อาจจะมีคนจำนวนหลายร้อย หลายพันคน ที่เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นกับวิกฤตการณ์ที่พร้อมใจกันเกิดขึ้นเหมือนนัดกันไว้ หลายคนเริ่มค้นหา คำทำนายเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำทำนายของ นอสตราดามุส โหราจารย์โลก คำทำนายในมหาพีระมิด คำทำนายของนางจีน ดิกสัน คำทำนายของ เอ็ดการ์ เคย์ซี และคนอื่นๆ ที่มีการบันทึกคำพยากรณ์โลกไว้ ซึ่งเป็นที่ น่าประหลาดใจว่าคำทำนายล้วนออกมาใกล้เคียงกันอย่างเหลือเชือที่ว่า 'โลกจะเกิดสงครามยื้ดเยื้อ ทำลายล้างซึ่งกัน และกันอย่างกว้างขวาง เกิดความอดอยาก (ทุพภิกขภัย) พร้อมกับที่จะเกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ทำลายล้างมนุษยชาติ ตายกันเป็นเบือ'
ท่านเป็นอีกคนหนึ่งใช่หรือไม่ที่ปักใจเชื่อคำทำนายเก่าแก่ที่ได้พูดกันต่อๆ ไปว่า 'ปีค.ศ. 2000 จะถึงวันโลกาวินาศ' มีหลายคำทำนายที่กล่าวว่าจะมีอุกกาบาตลูกใหญ่หลุดจากวงโคจรวิ่งชนโลกและผู้คนจะหนาวตาย เพราะดวงอาทิตย์ ไม่สามารถให้ความร้อนแก่มวลมนุษย์ได้เหมือนกับไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปด้วยวิธีนี้ 'ฤามนุษย์เรา จะสิ้นเผ่าพันธุ์ กันในคราวนี้เอง'
ท่านโหราจารย์ นอสตราดามุส เป็นที่เชือถือกันทั่วโลกว่าเป็นผู้ที่รู้ถึงชะตาโลก และได้ทำนายโลกไว้อย่างแม่นยำ เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานโดยอ้างอีเมลซึ่งส่งไปยังผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศฟิลิปปินส์ที่ระบุว่า มิเชล เดอ นอสตราดามุส ได้ทำนายการสิ้นพระชนม์ และมีพีธีพระศพของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างแม่นยำ โดยในอีเมล อ้างคำทำนายของนอสตราดามุสเป็นศตวรรษที่ 2 บทกวีที่ 28 ทั้งที่เป็นภาษาฝรั่งเศสและแปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีใจความว่า 'ลูกชายคนสุดท้ายของชายที่มีชื่อเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าจะนำเจ้าหญิงไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ อดีตพระชายาของเจ้าฟ้าชายชาร์วส์ มงกุฎราชกุมาร ของราชวงศ์อังกฤษ ไปสูู่่วันพักผ่อนชั่วนิรันดร์' ซึ่งสร้าง ความประหลาดใจให้กับประชาชนอย่างยิ่ง เพราะพ่อของนายโดดี อัลฟาเยด ซึ่งเป็นเจ้าของ ห้างสรรพสินค้า 'แฮร์รอด' ชื่อดังกลางกรุงดอนลอนมีชื่อว่า โมฮัมหมัด' ซึ่งเป็นชื่อของพระเจ้าใน ศาสนาอิสลาม ทั้งนี้ นาย โด อัล ฟาเยด เป็นเพือนชายคนสนิทของเจ้าหญิงไดอาน่าที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหต ทางรถยนต์ด้วยกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากอีเมลนี้ได้แพร่หลายออกไปยังหมู่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่เรียกได้ว่ามี จำนวนหลายล้านคน ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีความสามารถและมีวิทยาการก้าวหน้าสมัยใหม่ แต่ที่น่าจะเป็นที่เชื่อได้ว่า ความเชื่อในสิ่งลึกลับที่พิสูจน์ไม่ได้ยังคงมีอยู่ในหมู่คนจำนวนมากไม่น้อยเลยทีเดียว และนั่นย่อมจะส่งผล ให้เกิดข้อกังขาเพิ่มมากขึ้นว่า 'คำทำนายล่วงหน้า ที่ท่านนอสตราดามุสได้ทำนายไว้จะเป็นจริงหรือไม่' สำหรับเรื่องนี้ คุณอรรณวิโรจน์ ศรีตุลา โหรดังก้องฟ้าเมืองไทยได้ให้ความเห็นเมื่อวันที่ 3 ต.ค 40 ว่า 'เหตุการณ์ ค.ศ. 2000 สำหรับ ประเทศไทยนั้น ตนเชื่อแน่ว่าจะไม่เป็นที่น่าวิตก เพราะตนได้ดูแล้วว่าดวงเมืองของไทยนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังดีอยู่ ดังนั้น ตนจึงเชื่อแน่ว่าเมืองไทยจะไม่เกิดภัยพิบัติอย่างที่เป็นห่วงกันอย่างแน่นอน'
หากเราลองมองดูเหตุการณ์รอบ ๆ ตัวเราไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด เราพอจะสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ' ขณะนี้ วัฎจักร แห่งความเลวร้ายของธรรมชาติกำลังถล่มโลก' อย่างไม่สงสัยและองค์การอวกาศนาซ่าของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ภาพที่ได้จากดาวเทียมฝรั่งเศส-สหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติที่รู้จักกันดีในเอล นิโน จะส่งผลกระทบต่อ ภูมิอากาศโลกไปทั่ว อย่างน้อยขณะนี้ก็ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงในออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ อเมริกากลาง-ใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดียแล้ว ปรากฏการณ์ เอล นิโน หรือความดันของบรรยากาศและน้ำใน มหาสมุทรที่ส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศรอบโลกจะเกิดขึ้นทุกๆ 2-7 ปี สำหรับครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 10 ในรอบ 40 ปี ความเสียหายที่เกิดขึ้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่ว่างเว้นแม้แต่ตารางนิ้วเลยทีเดียว แถวอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ต้องเผชิญกับสภาพความแห้งแล้งคล้ายกับสภาวะในอินโดนีเชีย เจ้าของปัญหากลุ่มหมอกควัน แม้กระทั่งออสเตรเลีย ก็เกิดปัญหาความแห้งแล้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนที่เปรู เอกวาดอร์ โมแซมเบิร์ก แซมเบีย และอีกหลายประเทศ ที่นอกจากการเกิดปัญหาภัยแล้ง พืชผลเพาะปลูกไม่ได้ผลแล้ว ยังจะมีแนวโน้มการขาดแคลนอาหารอันเนื่องมาจาก อากาศอันเลวร้ายในไม่ช้านี้ด้วยซ้ำไป ถ้าหากจะนำวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ขึ้นมาสรุปถามว่าตรงกันกับคำทำนาย ของนอสตราดามุสที่ทำนายไว้ว่า 'จะเกิดภัยพิบัติที่ รุนแรง และ กระจายไปทั่ว พื้นจักรวาล จะเกิด มหาสงคราม ที่ทำลายล้างกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง' หรือไม่ คำตอบก็คือว่า อาจจะใช่ เพราะสถานการณ์อันเลวร้ายในขณะนี้กำลัง เกิดขึ้นเรียกว่า แทบทุกหย่อมหญ้าของพื้นโลก
แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากเราทำตัวให้เป็นกลาง และลองถามย้อนกลับไปว่า เพราะเหตุใดสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ จึงเกิดขึ้นกับโลกของเรา คำตอบที่ออกมาก็คือเพราะมนุษย์เราเป็นตัวการสำคัญ เป็นปัจจัยสำคัญ หรือเป็น เฟืองที่คอยดึงให้สภาพการณ์ของโลกค่อยๆ เปลี่ยนไปตามวันเวลา จากการที่มนุษย์มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีเทคโนโลยีก้าวไกล ทำให้เกิดการแข่งขัน ยื้อแย่ง และทำลายล้างซึ่งกันและกันเพื่อที่จะได้ครองความเป็นใหญ่ เป็นผู้นำ มนุษย์หวังเพียงความร่ำรวยและความเป็นมหาอำนาจ ก่อให้เกิดการล้างทำลายกัน ฟาดฟันกัน ใช้มันสมอง อันชาญฉลาดในการคิดค้นสร้างอาวุธร้ายแรงหลายจำพวก ยิ่งทำลายล้างได้มากและรวดเร็วได้เท่าไรยิ่งถือว่า ประสบผลสำเร็จมากขึ้น มนุษย์พยายามตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ จนถึงขั้นทำลายอย่างล้างผลาญเพื่อให้ได้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะติดตามมา ความต้องการ ที่เกินขีดจำกัดทำให้ระบบนิเวศน์ที่เคยมีสมบูรณ์กลับต้องมาแปรเปลี่ยนไป ทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกเปลี่ยนแปลง เกิดความปรวนแปรของดินฟ้าอากาศ ส่งผลให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นทวีความรุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น
คำทำนายของ นอสตราดามุส อาจจะต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดทำลายล้างและฟุ่มเฟือยในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บทเรียนต่างๆ มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะประเทศยังคงตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน และถูกลบเลือนไปจากใจของใครอีกหลายคนเช่นกัน เราจะใช้ชีวิต ในวันนี้อย่างหวาดกลัว และรอคอยผลของการทำนายให้เป็นจริงอย่างนั้นหรือ ดังนั้นในเวลานี้สิ่งที่ทุกคน ควรกระทำ ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าวัวหายล้อมคอกก็ตาม ก็คือการ รีเอ็นจิเนี่ยริ่งการกระทำของตนเอง โดยให้ทุกการกระทำก่อผลประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมากที่สุด ช่วยกันฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่าเดิมให้จงได้ ถึงแม้ว่าคำทำนายของนอสตราดามุสจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามแต่ ถ้าหากเราไม่ประมาทแล้ว เชื่อแน่ว่า อย่างน้อยที่สุด เราทุกคนจะสามารถซึมซับและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นได้โดยไม่ประมาทอย่างแน่นอน
ขอบคุณ ที่มาข้อมูล
วันที่ 11 ก.ย. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,257 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,153 ครั้ง เปิดอ่าน 7,162 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 20,484 ครั้ง |
เปิดอ่าน 21,815 ครั้ง |
เปิดอ่าน 146,314 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,565 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,853 ครั้ง |
|
|