Advertisement
|
ทำไมต้องชื่อ เทพโลกอุดร ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นร่วมกันว่าเป็นศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ผู้มีเชื้อสายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีพระศักดิ์เป็น "กรมพระราชวังบวร" ทรงดำรงตำแหน่ง วังหน้า ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่สำหรับตัวตนจริงของกรมวังหน้า พระองค์นี้ยังเป็นการถกเถียงกัน ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จวังหน้าองค์นี้ทรงเป็นที่เกรงขามของบรรดาข้าราชบริพารยิ่งนึกและ พระองค์มีลักษณะที่แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปอย่างหนึ่ง คือ พระองค์มีพระชิวหาดำ ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์โปรดการปลูกว่านสุมไพรต่างๆและทรงโปรดการชิมรสว่าน ต่าง ๆ
ด้วยพระลักษณะเฉพาะตัวนั้น จึงได้มีการขนานพระนามพระองค์ว่า :องค์ลิ้นดำ:
สมเด็จ วังหน้าพระองค์นี้ นอกจากจะสนใจในเรื่องการปลูกว่านสมุนไพรต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังทรงสนพระทัยในเรื่องวิชา คาถา อาคม ไสยศาสตร์ ( สรุปเลยนะ พระองค์ท่านก็ได้เรียนกับครูต่าง ๆ ที่ว่าเก่งก็แล้ว เรียนไปหมด แต่ท่านก็ยังไม่พอใจ เพราะว่ามีแค่ เสกน้ำมนต์ แล้วก็ไล่ผี ท่านเลยได้ตั้งปณิธานว่า )
ครั้นตัดสินพระทัยได้เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงจุดธูป 9 ดอก แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าไม่เจออาจารย์ที่จะสอนวิชาที่พระองค์ท่านต้องการได้จะไม่กลับมาวัง ขอให้เทพยาดาฟ้าดินได้โปรดเห็นพระทัยในความตั้งใจจริง ชี้ทางให้ไปพบกับอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญได้
ครั้นทรงอธิษฐานเสร็จ แล้ว สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ ก็ทรงแต่งกายอย่างสามัญชน และได้เสด็จหายไปจากพระราชวัง จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง
(ไม่ปรากฏ ชื่อและวันเดือนปี ) สมเด็จวังหน้าก็ได้เข้าไปขอน้ำจากชาวบ้านมาดื่มและล้างพระพักตร์ ครั้นพอรู้สึกชุ่มชื่นดีแล้ว ก็ได้ถอยออกมานั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ไหญ่ แห่งหนึ่ง
ครานั้นตะวันเริ่มรอนแล้ว สมเด็จวังหน้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าก็พลันเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดพัก อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่พระองค์นั่งพักอยู่ไม่เท่าไร
ครั้นเห็นเช่นนั้นสมเด็จ วังหน้า ก็ทรงดำริว่า :ชะรอยเทวดาฟ้าดินคงจะเห็นใจเราแล้ว พระธุดงค์รูปนั้นอาจจะเป็นอาจารย์ที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้:
ครั้นดำริเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงเสด็จเข้าไปใกล้ที่พระธุดงค์รูปนั้น นั่งทำสมาธิอยู่
ไป ถึงใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของพระธุดงค์รูปดังกล่าว คือ พระธุดงค์ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสมเด็จวังหน้าขณะนั้น ดูจากหน้าตาและรูปร่างเห็นว่าท่านยังเยาว์วัย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ ผิวพรรณผุดผ่องดี อย่างผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แต่ว่าบนศีรษะกลับมีหงอกขาวโพลนเต็ม
สมเด็จวังหน้าทรงเห็นดังนั้น ก็ให้นึกแปลกพระทัยและก็เริ่มศรัทธาในรูปลักษณ์ของพระธุดงค์รูปนั้น พระองค์จึงนั่งลงนมัสการ
ขณะ นั้นพระธุดงค์ผุ้มีหน้าตาและร่างกายหนุ่ม แต่มีศีรษะขาวโพลนกำลังนั่งสมาธิ หลับตานิ่ง แต่ว่า ท่านรู้ว่ามีคนมาก้มอยู่เบื้องหน้าจึงได้ถามออกมาว่า " คุณโยมจะไปไหน"
บัดนั้นสมเด็จวังหน้าจึงได้เล่าความเป็นมาของพระองค์ ให้พระธุดงค์รูปนั้นทราบอย่างละเอียด แล้วได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการเสด็จออกจากวังครั้งนี้ให้ท่านทราบด้วย
พระ ธุดงค์นั้นไม่กล่าวกระไร แต่เมื่อสมเด็จวังหน้าได้เรียนถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็ตอบได้ถูกต้องทุกคำถาม และตอบอย่างมีเหตุผล ชัดเจนอย่างผู้รู้จริง ซ้ำยังได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้สมเด็จวังหน้าได้ประจักษ์เช่น ชี้กิ่งไม้กลายเป็นงูเป็นต้น
สมเด็จวังหน้าได้เห็นเช่นนั้น ก็ประจักษ์พระทัยทันทีว่า พระธุดงค์รูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา ท่านทรงความรู้เหนือกว่าบรรดาครูต่าง ๆ ที่พระองค์เคยเรียนมาเป็นแน่ จึงก้มกราบแทบเท้าพระธุดงค์แล้วกล่าวขอฝากตัวเป็นศิษย์
พระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา
สมเด็จวังหน้าจึงได้อยู่ศึกษาวิชาความรู้ตามที่พระองค์ต้องการกับพระธุดงค์ผุ้มีความแปลกในตัวนั้นตั้งแต่บัดนั้น
เล่ากันว่าวิชาแรกที่อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นสอนแก่สมเด็จวังหน้า ก็คือวิชานะหน้าทอง
วิชา นะหน้าทองนี้ ก็คือการใช้แผ่นทองฝังลงในร่างกายของคน ส่วนใหญ่จะใช้บริเวณหน้าผาก การฝังนั้นก็จะฝั่งด้วยพลังจิต พระธุดงค์ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้ถวายการสอนโดยการใช้ทองฝังเข้าไปในร่างกายโดย การใช้พลังจิตและพระอาจารย์รูปนี้ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้ลงนะหน้าทองโดยการฝัง ทองเข้าไปในหน้าผากเท่านั้น ท่านยังปฏิบัติให้เป็นประจักษ์ถึงความสามารถที่พิสดารออกไป เช่น ส่งทองให้หายไปในอากาศ แล้วไปติดอยู่ตามต้นไม้หรือที่ต่าง ๆได้
สมเด็จวังหน้าทรงตั้งพระทัยศึกษาวิชานี้เป็นอย่างดี แต่วิชานี้ก็ไม่ใช่เรียนกันง่าย กว่าจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
อาจารย์ พระธุดงค์สอนวิธีต่าง ๆ ให้แล้วก็สั่งสมเด็จวังหน้าตั้งใจฝึกฝน ส่วนตัวท่านถอดกลดท่องธุดงค์ต่อไป แต่ก่อนจากกัน ท่านได้นัดแนะสมเด็จวังหน้า ผู้เป็นศิษย์ไว้ว่าคราวต่อไปจะได้ไปพบกันที่ไหนอีก
ครั้นอาจารย์พระ ธุดงค์จากไปแล้ว สมเด็จวังหน้าก็ตั้งพระทัยฝึกวิชาลงนะหน้าทองนั้นต่อไป จนชำนาญดีแล้วครั้นเมื่อถึงหมายกำหนดที่อาจารย์พระธุดงค์นัดให้ไปเจอ พระองค์ก็เดินทางไปตามที่นัดหมาย
เล่ากันว่าเรียนการสอนของศิษย์ อาจารย์คู่นี้ ค่อนข้างจะแปลกพิสดารไปจาการสอนของครูอาจารย์คนอื่น ๆ คือ จะสอนจะเรียนกันเป็นระยะ ๆ และต่างวิชาต่างสถานที่กันไป บางทีก็ต้องเดินทางไปสอนไปเรียนกันไกล ๆ และส่วนใหญ่จะอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำ บางคราวถึงกับเดินทางไปสอนไปเรียนกันถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว พม่า เป็นต้น
แต่สมเด็จวังหน้าพระองค์นั้น ก็ทรงทรหด ดั้นด้นติดตามไปหาไปพบพระอาจารย์ตามที่นัดหมายได้ทุกครั้ง
เสด็จ วังหน้าพระองค์ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ จากอาจารย์พระธุดงค์รูปนี้อยู่นาน จนชำนาญในหลายแขนงวิชา เพราะว่าพระอาจารย์ธุดงค์รูปนี้ ไม่ใช่เพียงสอนวิชาคาถาอาคมเท่านั้น ท่านยังสอนวิชาอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะวิชาในพระพุทธศาสนา เช่นการนั่งสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐาน เพราะท่านพูดกับศิษย์ว่า การนั่งสมาธินั้นจะช่วยให้จำวิชาต่าง ๆได้ดีขึ้น และสามารถนำมาประกอบใช้กับวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ได้ดี
สมเด็จวังหน้าทรงปฏิบัติตามทุกอย่าง
ครั้นศึกษาวิชาคาถาอาคม และการทำสมาธิ ทำกรรมฐานเพียงพอแล้ว วันหนึ่งอาจารย์ธุดงค์ก็ได้บอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า
" ถึงเวลาที่เราควรจากกันแล้ว ตอนนี้วังหน้าก็เรียนวิชาสำเร็จทุกอย่างแล้ว และอาตมาภาพขอยืนยันว่า บัดนี้ถือได้ว่า วังหน้าได้เป็นหนึ่งในแผ่นดินสมความปรารถนาแล้ว (ที่พิมพ์ย่อ ๆ มาไม่รู้ผมได้พิมพ์ไปเปล่า แต่ที่ท่านวังหน้าท่านออกมาหาอาจารย์ที่จะสอนท่านให้เก่งเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ได้นี้คือเป้าหมายของท่านครับ และได้เจอหลวงพ่อเทพโลกอุดรล่ะครับ )
ก่อนจากกันครั้งหนึ่งสมเด็จวังหน้าได้ถามอาจารย์พระธุดงค์ว่า " หลวงพ่อชื่ออะไร "
ทั้ง นี้ก็เพราะว่า ถึงแม้จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กันมาหลายปีแล้ว สมเด็จวังหน้าไม่เคยได้ทราบชื่อของอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นเลย พระองค์ได้แต่เรียกพระอาจารย์ว่า "หลวงพ่อ ๆ " ส่วนอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นก็เรียกสมเด็จวังหน้าว่า " วังหน้าเฉย ๆ "
เมื่อ สมเด็จวังหน้าได้ทรงถามเช่นนั้น อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้น ก็ยังไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ได้แต่อธิบายสมเด็จวังหน้า ให้เห็นถึงความไม่จำเป็นของชื่อเสียงเรียงนาม และยังได้ยบอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า
" วังหน้าจะเรียกหลวงพ่อว่าอย่างไร หลวงพ่อก็ชื่ออย่างนั้นล่ะ "
เมื่อ ถามถึงอายุ อาจารย์พระธุดงค์ก็ตอบว่า " อายุเท่าไรจำไม่ได้แล้ว เพราะมันนานเหลือเกินแล้ว ปู่ของวังหน้า ถ้ายังมีชีวิตอยู่อายุสักประมาณเท่าไรได้แล้วล่ะ "
สมเด็จวังหน้าตอบว่า " ร้อยกว่าปีแล้ว "
อาจารย์พระธุดงค์ตอบว่า " ถ้าอย่างนั้น วังหน้าก็เอาอายุของปู่สักร้อยพระองค์มาบวกกันก็ยังไม่ได้เท่าอายุของหลวงพ่อ "
ด้วย เหตุนี้ สมเด็จวังหน้าจึงไม่สามารถจะทราบได้ว่าพระอาจารย์ของพระองค์ชื่ออะไร พระองค์จึงทรงดำริจะตั้งชื่อพระอาจารย์ลึกลับมหัศจรรย์รูปนั้นขึ้นมาเอง
พระองค์ทรงใคร่ครวญหาชื่อ เพื่อจะตึ้งให้เหมาะกับพฤติกรรมของพระอาจารย์รูปนี้
ใน ที่สุดก็ตัดสินพระทัยขออนุญาตเรียกชื่อ พระอาจารย์รูปนั้นว่า "เทพโลกอุดร " เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ไปไหนมาไหนรวดเร็ว ดังปรารถนาเหมือนเทพเจ้า และทรงฤทธิอภิญญาเหนือโลก
อาจารย์พระธุดงค์ก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ๆ
ตั้งแต่บัดนั้นมา พระธุดงค์ ผู้มีความพิสดารในรูปร่างลักษณะรูปนี้จึงได้ชื่ว่า "เทพโลกอุดร "
แต่ ในต่อมาไม่ทราบว่าใคร ได้ไปต่อนามให้ท่านว่า " พระครูโลกเทพอุดร " ตามประวัติที่พอสืบหาได้ก็เห็นว่า ท่านมีนามว่า " หลวงปู่โลกเทพอุดร " เท่านั้นไม่มีคำว่า " พระครู " นำหน้า
ะคาถาบูชาบรมครูพระเทพโลกอุดร
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร
ปะฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก
พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก
อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คหาวะนัง
โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต
อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย
ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง
โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร
อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง
โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต
โลกกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม
(แปล ขอน้อบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ครั้ง)
พระมหาเถระผู้เป็นอริยเจ้าองค์ เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา พุทธสาวกผู้ได้วิชชาสาม
มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเป็นวิหารธรรม พระมหาเถระผู้ชำนาญในการสั่งสอน ดำรงชีวิตอมตะ ยินดีในการอยู่ป่าคือถ้ำ
พระมหาเถระองค์นั้นมีนามว่า โลกอุดร อันพวกเราบูชาอย่างยิ่ง เพราะอาศัยในคุณธรรมในองค์ท่าน ชักชวนพวกเราประกอบกุศลทั้งหลาย
ท่านให้ความรักพวกเราเหมือนบุตร แสดงมรรคและผลเท่านั้น พระธาตุของท่านส่องประกายดังเพชร
พระมหาเถระอุบัติขึ้นในโลก และทำประโยชน์โดยส่วนเดียวด้วย นับเป็นบุญลาภของพวกเรา อันหาประมาณมิได้
พวกเราจักกระทำตามคำสั่งสอนของท่านอันเป็นยอดสุภาษิต อนึ่งพระมหาเถระนามว่าโลกอุดร เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ข้าพเจ้าจักกราบไหว้บูชาคุณของพระอุตตระตลอดกาลทุกเมื่อ ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาเถระ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ
ฉบับย่อ
นะโม ๓ จบ
โลกกุตตะโร จะ มะหาเถโร
อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
เมตตาลาโภ นโสมิยะ
อะหังพุทโธฯ
ภาวนา ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน
พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร
นะโม ๓ จบ
อุตะเร อะริโยนามะ วันทิตาเตจะ อัมเหหิ
สักกาเรหิ จะปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
สัพพะ โสตถี ภะวันตุโน
เมตตา ลาโภ นะโส มิยะ อะหะ พุทโธ
เมตตา ลาโภ นะโส ทะยะ อะหะ พุทโธ
นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะภะลาโภ
นิโสทะโย อะหะพุทโธ นะโมพุทธายะ
อิตติถะลาโภ เอกลาโภ ชะโยนิจจัง
พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร
(อธิษฐานฤทธิ์) นะโม ๓ จบ
อะอุมะ พุทโธ นะโมพุทธายะ
นะมะพะธะ รัตตะนะตะยา นุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุเม
อิทธิ อิทธิ ฤทธิ ฤทธิ สิทธิ สิทธิ
ชัยยะ ชัยยะ ลาภะ ลาภะ
อุตระเรนะ
พุทธะ นิมิตตัง อิติ
ธัมมะ นิมิตตัง อิติ
สังฆะ นิมิตตัง อิติ
(ตั้งจิตอธิษฐานตามความปราถนา)
พระคาถาขอพบบรมครูพระเทพโลกอุดร
นะโม ๓ จบ
“ โย อะริโย มะหาเถโร นามะ อุตะโร
จะอำมะเหหิ ปูชิตา เอเตนะ ชะยะมังคะลัง”
ท่องวันละ ๓ จบก่อนนอนเป็นเวลา ๑๑ วันติดต่อกัน เมื่อครบแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๑๒ ให้จัดอาหารเจไปรอใส่บาตรที่สถานอันเหมาะสม เช่น หน้าบ้านของตัวเราก็ได้
ขอเรียนว่าอาจจะไม่พบเห็นทุกคน แต่ให้ทำใหม่ได้อีกใน ๖ เดือนต่อไป หากมีความนับถือ คือศรัทธาจริง ก็คงจะพบในครั้งใดครั้งหนึ่งแน่นอน คาถาบทนี้อย่างน้อย ก็เคยมีคนได้พบบรมครูพระเทพโลกอุดรมาแล้ว ก่อนจะท่องให้จัดเครื่องบูชาเสียก่อน คือ
๑. ธูป ๙ ดอก ๒. เทียน ๙ เล่ม ๓. ดอกไม้สีขาว ๙ ดอก ผ้าขาวหรือกระดาษขาวเท่าฝ่ามือ ๙ ผืน / แผ่น ใส่พานหรือถาดไว้ในที่สูงหรือหน้าที่บูชาพระ ( จัดครั้งเดียวต่อพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธีแต่ละครั้ง ) จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร เพราะท่านไม่มาในร่างจริงเสมอไป ก็ขอให้สังเกตที่ข้อเท้า คือเท้ายาวผิดปกติ
บางคนก็ได้เห็นท่านในรูปตัวจริงก็มี บางคนเห็นเป็นพระหนุ่มรูปงาม งามเหนือมนุษย์ทั่วไป
ท่านบอกว่า ผู้ใดนับถือศรัทธาท่านจริง และเวลาภาวนาทำใจเหมือนเด็กแรกเกิดได้ ผู้นั้นได้พบกับท่านแน่นอน
หากท่านใดสนใจ..อยากทราบข้อมูลมากกว่านี้ เรามีที่สัมภาษณ์ข้อมูลได้ชัดเจนและ ยืนยันด้วยหลักฐาน ณ ปัจจุบันยังพบเห็น" หลวงปู่โลกเทพอุดร " ได้.....ดินแดนแห่งโลกทิพย์ท่านใดต้องการสัมผัสอยากทราบรายละเอียด เชิญe-mail คุย สอบถามได้ค่ะ...
|
ขอบคุณที่มาข้อมูลwww.shockfmclub.com/story_detail.php?historyshock_id=230
วันที่ 27 ส.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,147 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,175 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,148 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,169 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 11,021 ครั้ง |
เปิดอ่าน 9,680 ครั้ง |
เปิดอ่าน 3,585 ครั้ง |
เปิดอ่าน 4,639 ครั้ง |
เปิดอ่าน 17,685 ครั้ง |
|
|