ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

แนะนำ....วิทยาศาสตร์ที่ซ่อนในพิพิธภัณฑ์ "จ่าทวี"


เรื่องราวจากสมาชิก เปิดอ่าน : 7,138 ครั้ง
Advertisement

แนะนำ....วิทยาศาสตร์ที่ซ่อนในพิพิธภัณฑ์ "จ่าทวี"

Advertisement

 

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี แหล่งความรู้ที่รวบรวมจากความสนใจส่วนตัวของจ่าทวีและต้องการเผยแพร่แก่สาธารณะ

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
"ครัวไฟ" ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ประยุกต์ใช้เตาไฟบนเรือนไม้ได้ด้วยการถ่ายโออนความร้อนลงกระบะดิน และป้องกันอาหารจากมดได้ด้วยกะลากันมดในตะขอแขวน

ภาพจ่าทวีช่างหล่อพระพุทธรูป ซึ่งติดอยู่ข้างผนังพิพิธภัณฑ์

กล่องตาแมวซึ่งได้รับความสนใจจากนักฟิสิกส์และผู้เข้าชมอย่างมาก

"สุ่ม" อุปกรณ์จับสัตว์น้ำซึ่งอาศัยการคาดเดาตำแหน่งของปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ โดยอดีตเราไม่ใช่สุ่มแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่มีหลักการว่าจะใช้สุ่มในช่วงกลางวันที่แดดจัด ซึ่งปลาจะหลบแดดอยู่ในบริเวณร่มๆ

อุปกรณ์จับเม่น เมื่อเม่นพองขนจะถอยหลังไม่ได้ เพราะขนติดกับช่องไม้ไผ่ ทำให้ดึงขนเม่นออกมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ชาวบ้านจะไม่ฆ่าเม่นเพื่อกินเป็นอาหารเนื่องจากเนื้อเหนียว ไม่อร่อย

ตาเต็ง สำหรับชั่งน้ำหนัก ซึ่งมีคำเปรียบเทียบคนสติไม่ดีว่าไม่เต็มเต็ง

"กระได" ซึ่งต่างจากบันไดตรงที่กระไดสามารถยกขึ้นบนเรือนได้ แต่บันไดจะติดอยู่ถาวร และด้านซ้ายของกระไดจะสั้นกว่าด้านขวาเสมอ เพื่อให้เวลาแบกน้ำใส่ตุ่มด้วยบ่าซ้ายไม่โดนกระไดจนหกเลอะเทอะ

อาวุธโบราณ

ที่นี่อาจไม่อลังการเท่า "สมิทโซเนียน" ไม่มีวี่แววที่จะเป็นแหล่งความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใดๆ มากไปกว่าแหล่งรวบรวม "ของเก่าๆ" แต่ถ้าพินิจดูให้ดีเราจะเห็นภูมิปัญญาที่แฝงไปด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ของ ปู่ย่า-ตายายที่ซ่อนอยู่ในของใช้และวิธีความเป็นอยู่แบบพื้นบ้านของคนไทยใน อดีตที่ "พิพิธภัณฑ์จ่าทวี"
       
       หลายคนเคยไปเยี่ยมเยียน หลายคนเคยได้ยินชื่อ
"พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จ่าทวี" แหล่งรวบรวมนิทรรศการ และความรู้เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตซึ่ง ตั้งอยู่ใน จ.พิษณุโลก แต่อีกหลายคนก็ยังไม่รู้จักพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลย และนับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ที่ได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ พร้อมๆ กับเหล่าว่าที่และนักฟิสิกส์ทฤษฎีของสถาบันสำนักเรียนท่าโพธิ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
       
       ที่พิพิธภัณฑ์มีส่วนจัดแสดงหลายส่วน ทั้งห้องแสดงภาพซึ่งแสดงภาพในอดีตของชาวพิษณุโลก อาคารแสดงจัดแสดงนิทรรศการซึ่งรวบรวมของใช้และจัดแสดงวิธีความเป็นอยู่ของชาวภาคเหนือตอนล่าง และอาคารนิทรรศการชาวโซ่ง ทั้งนี้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ได้เข้าไปนิทรรศการภายในอาคารจัดแสดง ซึ่งยกเรือนย่อมๆ และเครื่องใช้ที่ดูแสนธรรมดาแต่ฝังภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติมาจัดแสดง ซึ่งเมื่อฉาบด้วยกาลเวลาอีกต่อแล้ว สิ่งเหล่านี้ยิ่งเรืองคุณค่ามากขึ้นทุกวัน
       
       "เครื่องมือจับสัตว์" เป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน ที่รู้จักสังเกตพฤติกรรมสัตว์มาเป็นประโยชน์ในการออกแบบเครื่องมือ
       
       "กล่องตาแมว" เป็นเครื่องมือสำหรับจับหนูนาเพื่อนำมาประกอบอาหาร รูปร่างของกล่องที่ดูเรียบๆ แต่กลับมีกลไกอันแสนชาญฉลาดในการดักจับหนู ลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้ามีรู 2 ช่องสำหรับดักหนูขนาดไม่เล็กและไม่โตเกินไป มองแล้วคล้ายดวงตาคู่หนึ่ง
       
       ภายในกล่องยังแบ่งออกเป็น 4 ช่อง ซึ่ง 2 ช่องด้านหน้ามีกลไกไม้กระดก ส่วน 2 ช่องด้านหลังสำหรับขังหนูที่ติดกับ เมื่อหนูวิ่งเข้าไปในกล่องเพื่อเข้าไปกินอาหารที่ล่อไว้ น้ำหนักของหนูจะทำให้ไม้กระดกเอียง และฝาไม้กลมๆ จะกลิ้งไปปิดช่องที่หนูตัวนั้นเพิ่งวิ่งเข้าไป ซึ่งพฤติกรรมของหนูจะไม่วิ่งถอยหลังแต่วิ่งไปข้างหน้าแล้วติดอยู่ภายในกล่อง และกลไกนี้จะทำงานสลับซ้าย-ขวา ตามจำนวนหนูที่วิ่งเข้าไปติดกับ ทำให้สามารถจับหนูได้หลายๆ ตัวด้วยกล่องใบเดียว
       
       พฤติกรรมของลิงที่ไม่แบมือจนกว่าจะได้กินอาหารในมือ นำไปสู่อุปกรณ์จับลิงที่ทำขึ้นจากมะพร้าวลูกเดียว ที่ตัดให้มีช่องพอสำหรับให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ จากนั้นนายพรานจะนำไปล่อลิงโดยใส่อาหารไว้ข้างใน ซึ่งนิยมใช้ไข่ต้ม เมื่อเจ้าจ๋อเอามือล้วงเข้าไปก็จะกำมือไว้แน่นตามสัญชาตญาณ จึงติดกับนายพราน
       
       อุปกรณ์ดักจับเม่นเป็นอีกเครื่องมือที่แสดงถึง การช่างสังเกตต่อพฤติกรรมสัตว์ แต่อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้มีไว้เพื่อดักจับเม่นไปเป็นอาหาร หากแต่บรรษบุรุษของเราใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับล่อให้เม่นเข้าไปติดกับเพื่อถอน ขนเม่นไปใช้ประโยชน์ ทั้งเป็นปิ่นปักผม เครื่องประดับและนำไปฝนเป็นยารักษาโรค และเนื่องจากเม่นเนื้อเหนียวจึงไม่นิยมนำไปกิน ลักษณะเครื่องมือจะเป็นไม้ไผ่สานเมื่อเม่นเข้าไปติดกับจะพองขนตามสัญชาตญาณ
       
       ภายในอาคารนิทรรศการยังจัดแสดง "ครัวไฟ" ตัวอย่างครัวสมัยก่อนซึ่งใช้ประโยชน์จากเตาฟืนที่เรียกว่า "เตาสามเส้า" เป็นเตาที่มีเส้า 3 ก้อน ปั้นขึ้นจากดินเหนียวคล้ายเขาควาย วางบนกระบะดินที่ช่วยให้วางเตาบนครัวที่สร้างจากไม้ไผ่ได้ ภายในครัวที่ไม่มีตู้เย็นหรือตู้กำกับข้าวอย่างในวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ใช้ "กะลากันมด" เป็นเครื่องมือมากินอาหาร โดยจะเจาะรูกะลามะพร้าวใส่ขอแขวนแล้วชันไม่ให้มีรูรั่ว จากนั้นเติมน้ำในกะลา แล้วนำอาหารไปแขวนกับตะขอที่มีกะลากันมด
       
       "เรือนอยู่ไฟหลังคลอด" เป็นเรือนที่ปลูกขึ้นจากไม้ไผ่ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการรื้อถอนสำหรับนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ต่อไป เรือนอยู่ไฟจะมีกองไฟอยู่กลางเรือน เมื่อผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรได้รับความร้อนจากกองไฟจากทำให้มดลูกเข้าอู่ เร็วขึ้น ภายในเรือนมีกระปุกเกลือให้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรโยนใส่กองไฟ เมื่อเกลือร้อนถึงระดับหนึ่งจะแตกกระเด็นมาถูกตัวแม่ที่อาจเพลียจนหลับไป ทำให้ผู้หญิงที่เพิ่งคลอดตื่นตัวอยู่เสมอ
       
       ขณะเดียวกันเด็กที่เพิ่งคลอดตามความเชื่อโบราณ ถือว่ายังจิตวิญญาณยังไม่เกิดบนโลกจนกว่าจะ "ตกฟาก" นั่นคือการนำศีรษะของเด็กไปกระทบกับฟากของเรือน ซึ่งอธิบายตามหลักการคือวิธีทำให้เด็กสำรอกน้ำคร่ำออกมา เช่นเดียวกับการตบก้นเด็กแรกเกิดในปัจจุบัน ส่วนรกของเด็กจะฝังไว้ใต้เรือน โดยมีไม้หนามวางกั้นไว้ โบราณว่าเพื่อปกป้องกระสือมากิน แต่อธิบายตามหลักการได้ว่ากลิ่นคาวของรกเด็กจะดึงให้หมา-แมวไปคุ้ยกิน จึงต้องวางไม้หนามกันไว้
       
       ยังมีของใช้ทรงคุณค่าอีกมากในพิพิธภัณฑ์ของจ่าสิบเอกทวี บูรณเขตต์ อดีตข้าราชการทหารและช่างปั้นพระพุทธรูปซึ่งเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ พื้นบ้านมาเป็นเวลานับสิบๆ ปี ด้วยความชอบส่วนตัว และเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆ ได้ร่วมรับรู้ถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่รู้จักประดิษฐ์เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ เป็นวิถีชีวิตที่เลือนหายไปจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน
       
       พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นส่วนเล็กๆ ในสังคมที่ย้ำเตือนว่าวิถีชีวิตของบรรพบุรุษนั้นไม่ได้อยู่อย่างงมงายและจมอยู่กับความเชื่อเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ มีหลักการที่อธิบายได้ทุกความเป็นไป เพียงแต่ลูกหลานอย่างเราๆ จะมองเห็นและรู้คุณค่าหรือไม่


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  

โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 7254 วันที่ 17 ส.ค. 2552


แนะนำ....วิทยาศาสตร์ที่ซ่อนในพิพิธภัณฑ์ "จ่าทวี" แนะนำ....วิทยาศาสตร์ที่ซ่อนในพิพิธภัณฑ์จ่าทวี

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ข้อห้ามของรัก

ข้อห้ามของรัก


เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง
ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่!!!

ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่!!!


เปิดอ่าน 7,156 ครั้ง
สำนวนหมาหมา..

สำนวนหมาหมา..


เปิดอ่าน 7,204 ครั้ง
อ่านแล้วทำใจให้สบาย

อ่านแล้วทำใจให้สบาย


เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง
รายงานการวิจัย

รายงานการวิจัย


เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง
22 เคล็ด(ไม่)ลับ

22 เคล็ด(ไม่)ลับ


เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง
หมวดวิทยาศาสตร์

หมวดวิทยาศาสตร์


เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

บทร้อยกรอง

บทร้อยกรอง

เปิดอ่าน 7,393 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
ตำนานของสงกรานต์
ตำนานของสงกรานต์
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย

รายงานการใช้เอกสารประกอบการสอน กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี  ชั้นประถมศึกษาปีที่  5
รายงานการใช้เอกสารประกอบการสอน กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย

บทความเทิดพระคุณแม่  .....ในวันแม่แห่งชาติ
บทความเทิดพระคุณแม่ .....ในวันแม่แห่งชาติ
เปิดอ่าน 7,259 ☕ คลิกอ่านเลย

ลางสังหรณ์....สังเกตจากสัตว์เข้าบ้าน
ลางสังหรณ์....สังเกตจากสัตว์เข้าบ้าน
เปิดอ่าน 7,299 ☕ คลิกอ่านเลย

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้ !!
หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้ !!
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย

เช็คที่มาของมือถือว่ามีคุณภาพหรือเปล่า...
เช็คที่มาของมือถือว่ามีคุณภาพหรือเปล่า...
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

"แอพฟรี"สูบแบตเตอรี่กว่าแอพเสียเงินจริงหรือ?
"แอพฟรี"สูบแบตเตอรี่กว่าแอพเสียเงินจริงหรือ?
เปิดอ่าน 12,559 ครั้ง

คลิปน้อง "ธนัช" เด็กไทยอัจฉริยะ ตอน 4 ขวบ เดี่ยวไวโอลิน ที่ยอดวิวตอนนี้ 22 ล้านแล้ว
คลิปน้อง "ธนัช" เด็กไทยอัจฉริยะ ตอน 4 ขวบ เดี่ยวไวโอลิน ที่ยอดวิวตอนนี้ 22 ล้านแล้ว
เปิดอ่าน 16,026 ครั้ง

ผลวิจัยชี้การมีกิจกรรมทางกายทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ช่วยลดการเจ็บป่วยโรคหัวใจและสมอง มากถึงร้อยละ 38
ผลวิจัยชี้การมีกิจกรรมทางกายทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ช่วยลดการเจ็บป่วยโรคหัวใจและสมอง มากถึงร้อยละ 38
เปิดอ่าน 1,142 ครั้ง

29 ก.ค. วันภาษาไทยแห่งชาติ
29 ก.ค. วันภาษาไทยแห่งชาติ
เปิดอ่าน 15,390 ครั้ง

คลอสตริเดียม โบทูลินัม เชื้อโรคร้ายในอาหารกระป๋อง
คลอสตริเดียม โบทูลินัม เชื้อโรคร้ายในอาหารกระป๋อง
เปิดอ่าน 21,465 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ