ครม.ไฟเขียวประกาศให้วันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นวันรักการอ่าน ชูทศวรรษแห่งการอ่านตั้งแต่ปี 2552-2561 พร้อมให้การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าภายในปี 2555 คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 10 เล่ม
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงเสนอประกาศให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่านของประเทศไทย พร้อมประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวันรักการอ่าน อีกทั้งกำหนดให้เรื่องการส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมี รมว.ศึกษาธิการเป็นประธานหลักในการขับเคลื่อนเรื่องนี้
"การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านครั้งใหญ่นี้ ต้องการให้คนไทยทุกวัยพัฒนาความสามารถในการอ่านและการรู้หนังสือ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2555 ประชากรวัยแรงงานจะต้องรู้หนังสือในระดับใช้งานได้ในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 92.64 เป็นร้อยละ 99 ขณะที่คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่สามารถอ่านออกเขียนได้จะต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 92.64 เป็นร้อยละ 95 ค่าเฉลี่ยในการอ่านหนังสือของคนไทยต้องเพิ่มจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 เล่ม รวมทั้งต้องมีการพัฒนาและเพิ่มแหล่งการอ่านที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงทุกตำบล/ชุมชน สร้างภาคีเครือข่ายการอ่าน เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน" รมว.ศึกษาธิการกล่าว
นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า จะเร่งประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านในเร็วๆ นี้ เพื่อกำหนดกิจกรรม ยุทธศาสตร์สำหรับเพิ่มขีดความสามารถในการอ่านและสร้างนิสัยให้คนไทยทุกวัยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น รวมทั้งสร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้น โดยประกาศชัดเจนว่า ในแต่ละปีจะมีการจัดกิจกรรมใดบ้าง และจะพยายามดึงองค์กรอื่นๆ มาร่วมเป็นกรรมการส่งเสริมการอ่านเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงจะจัดงาน "มหกรรมรักการอ่าน 2552" ในวันที่ 14-16 สิงหาคมนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยถึงผลสำรวจการอ่านหนังสือของประชากร ปี 2551 โดยผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป พบว่าอัตราการอ่านหนังสือนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทำงาน คือร้อยละ 66.3 ผู้ชายมีอัตราการอ่านสูงกว่าผู้หญิง และกลุ่มวัยเด็กอ่านหนังสือสูงกว่าวัยอื่น รองลงมาคือ กลุ่มเยาวชน วัยทำงาน และวัยสูงอายุ อัตราการอ่านลดลงจากปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 69.1 และลดลงเกือบทุกวัย
แหล่งอ้างอิง ข้อมูล
...............................
จึงควรที่คุณครูเราทั้งหลายมาร่วมขยายผล สร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับเด็กไทยทุกคุนให้มีนิสัยรักและชื่นชอบกับการอ่าน ให้สมกับปี 2552 -2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน ตามที่ตั้งปณิธาน
ภาษาไทยอ่านเขียนถูกปลูกสำนึก
หมั่นตรองตรึกทุกวลีมีความหมาย
มหัศจรรย์มนต์ขลังสุดบรรยาย
มีหลากหลายรายละเอียดละเมียดละไม
เขียนให้งามตามแบบฉบับด้วย
ลายมือสวยอ่านคล่องหน้าผ่องใส
ฝึกอ่านเขียนเพียรสะกดให้ขึ้นใจ
อนุรักษ์ภาษาไว้ไทยยืนยง
ประพันธ์โดย ครูหนู
: คมชัดลึกออนไลน์
ขอบคุณครับกับ อ.น้อง แห่งhttp://blog.eduzones.com/jipatar/29087