ตับอักเสบชนิด บี
น.อ. ณัฎฐากร วิริยานุภาพ
กองอายุรกรรม ร.พ.ภูมิพลอดุลยเดช พอ.บนอ.
ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบีในเมืองไทยจำนวนมาก โดยที่ผู้ป่วยเหล่านี้อาจ
ไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยเหล่านี้ บางคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเองเป็นโรคนี้ จนกระทั่ง
ไปตรวจเลือด จึงพบว่าเป็นโรคนี้ก็มี หรือบางคนไปบริจาคโลหิต แล้วจึงทราบว่าเป็นโรคนี้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จำนวนหนึ่งจะกลายเป็นโรคร้ายแรงซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
โรคไวรัสตับอักเสบชนิดติดต่อกันได้อย่างไร
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ส่วนมากไม่ทราบว่าติดโรคนี้มาได้อย่างไร การติดต่อของโรคนี้ติดต่อกันได้ ที่สำคัญมี 4 ทาง คือ
1. ติดต่อทางเลือด โดยได้รับเชื้อจากการได้รับเลือดจากผู้ที่เป็นโรคนี้ ปัจจุบันเราพบการติดต่อทางนี้น้อยลง
เพราะเรามีการตรวจเลือดก่อนที่จะนำมาให้คนไข้
2. ติดต่อทางน้ำลาย การรับประทานอาหารร่วมกับคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีโอกาสจะติดต่อกันได้ง่าย
เพราะการรับประทานอาหารของคนไทยมักจะลืมใช้ช้อนกลาง ทำให้มีโอกาสติดโรคนี้ได้ง่าย
3. ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสจะติดโรคนี้ได้
4. ติดต่อจากมารดาสู่บุตร การติดต่อนี้จะมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อได้ในระหว่างคลอด จึงควรมีการตรวจเลือด
มารดาในตอนที่ฝากครรภ์ ถ้าพบว่ามารดามีเชื้อโรคนี้อยู่ ควรให้วัคซีนแต่ทารกตั้งแต่แรกเกิด เพื่อป้องกันไม่ให้
้เป็นโรคนี้อาการของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เป็นอย่างไร
อาการของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. มีอาการน้อย จนผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแทบจะไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาทราบทีหลัง
โดยการเจาะเลือด หรือไปบริจาคโลหิตจึงทำให้ทราบว่าเป็นโรคนี้
2. มีอาการชัดเจน ได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารนำมาก่อน ต่อมามีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง
ปัสสาวะเหลืองเข้ม เมื่อมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองเกิดขึ้นแล้ว อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารก็มักจะดีขึ้น หรือหายไป
ผู้ป่วยจะมีระยะเวลาที่ตาเหลืองตัวเหลืองไม่เท่ากัน บางคนอาจเป็นเพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่บางคนอาจนาน 2-3 เดือน
3. ผู้ป่วยบางรายมีอาการรุนแรงมาก จนมีอาการซึม ตาเหลือง ตัวเหลือง ไม่รู้สึกตัว ตับมีขนาดเล็กลงผู้ป่วย
เหล่านี้จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะตับวายและเสียชีวิตในที่สุด แต่โชคดีมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมากที่จะเป็นแบบนี้
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ได้ผลดีที่สุด วิธีที่ได้ผลดีในขณะนี้ก็คือ การเปลี่ยนตับ
ซึ่งก็มีปัญหาหลาย ๆ อย่างดังนี้
3.1 มีผู้บริจาคตับจำนวนน้อย ทำให้ไม่เพียงพอที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยส่วนใหญ่ ตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยโรคนี้มักจะได้
มาจากผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ตับยังดีอยู่ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากญาตผู้ป่วยด้วย
3.2 เนื้อเยื่อของตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยต้องเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยด้วย
3.3 ผู้ป่วยที่มีภาวะตับวาย มักจะมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น สมองบวม, ปอดบวม, เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถจะเปลี่ยนตับให้แก่ผู้ป่วยได้
3.4 ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนตับ จำเป็นต้องได้รับการรับประทานยากดภูมิต้านทาน เพื่องป้องกันไม่ให้ร่างกายนั้น มีปฏิกิริยา
กับตับที่นำมาเปลี่ยนให้ การได้รับยาชนิดนี้นาน ๆ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นผู้ป่วยที่มีอาการตาเหลือง
ตัวเหลือง หรือที่เรียกอีกอย่างว่า อาการดีซ่าน ทุกคนต้องเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไม่
ผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่านคือ ตาเหลือง ตัวเหลือง ไม่จำเป็นต้องเป็นไวรัสตับอักเสบบี เพราะสาเหตุของอาการดีซ่าน
มีได้หลายอย่าง ได้แก่
1. จากการทำลายของเม็ดเลือดแดงมากเกินปกติ ทำให้เกิดภาวะดีซ่านขึ้นได้ เช่น การให้เลือดผิดหมู่เลือดหรือดรค G-6, P-D เป็นต้น
2. จากภาวะตับอักเสบซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น
2.1 จากไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบ ชนิด A, B, C, D และ E
2.2 จากยาบางชนิด ยาหลายตัวที่มีพิษต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยาซัลฟา, ยาเตตราซัยคลิน, ยาอีรีโทรมัยซิน
เป็นต้น ยารักษาโรควัณโรคหลายตัวก็มีพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ดังนั้นก่อน
ที่จะรับประทานยาชนิดใด ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะยานั้นอาจมีพิษต่อร่างกายได้
2.3 จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ทุกชนิด เช่น เบียร์ วิสกี้ เหล่า ไวน์ เป็นต้น
มีโอกาสจะเกิดภาวะตับอักเสบได้ เพราะแอลกอฮอลล์นั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีพิษต่อตับทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้
ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่มด้วย ถ้าดื่มปริมาณมากและระยะเวลานานก็มีโอกาสจะเกิดตับอักเสบได้มากขึ้น
2.4 จากสารพิษบางชนิด ในปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งสมุนไพรบางชนิดอาจมีพิษต่อตับได้ ทำให้เกิด
ภาวะตับอักเสบ ดังนั้นการที่จะรับประทานสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นยาลูกกลอน ยาหม้อ, ยาดองเหล้า ฯลฯ จึงควรต้องระมัดระวังว่า
อาจมีโอกาสที่จะเกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เมื่อเป็นแล้วจะเป็นเรื้อรังทุกราย หรือไม่
- ไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรังทุกราย ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสลชนิดบีเข้าไปครั้งแรก จะมีอาการน้อยจนถึงมีอาการรุนแรง
ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ผู้ป่วยเหล่านี้ประมาณ 10% เท่านั้น ที่จะเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือพาหะของโรค ส่วนใหญ่ประมาณ
90% จะหายเป็นปกติ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นโรคไวรัสตับบีเรื้อรัง หรือพาหะของโรคนี้ หรือเปล่า
- ถ้าเราไม่เคยมีอาการใด ๆ มาก่อน เราอาจจะไปพบแพทย์ เพื่อขอเจาะเลือดตรวจ ซึ่งแพทย์จะตรวจการทำงานของตับ
และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย ถ้าผู้ป่วยมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและมีภาวะตับอักเสบด้วย น่าจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
แต่ถ้าจะให้แน่ใจแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเจาะเลือดอีก 6 เดือน ถ้ายังพบเชื้อและยังมีภาวะตับอักเสบอยู่ ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็น
โรคตับเรื้อรังจากไวรัสชนิดบี แต่ถ้าเจาะเลือดแล้วมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบก็น่าเป็นพาหะของโรคนี้
ถ้าอีก 6 เดือนต่อมา เจาะเลือดแล้วยังพบเชื้อเหมือนเดิม แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบ ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่าน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะไปพบแพทย์ ซึ่งก็จะทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ จากการตรวจและเจาะเลือด
ของแพทย์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรัง หรือพาหะของโรคนี้มีอันตรายอย่างไร
ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้ มีโอกาสจะเกิดโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งของตับหรือทั้ง 2 อย่าง ได้สูงกว่าคนที่ไม่เป็นโรคนี้
โรคตับแข็งและโรงมะเร็งของตับเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายในขณะนี้ โรคตับแข็งจะเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อน
จากการติดเชื้อ และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้บ่อย ส่วนโรคเนื้องอกหรือมะเร็งของตับนั้นเมื่อเป็นแล้ว ในปัจจุบัน
ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ การรักษาในขณะนี้ที่พอจะได้ผล ก็ได้แก่การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก และการใช้ยาฉีดทำลาย
เซลล์มะเร็ง โดยผ่านสายฉีด เข้าไปทางเส้นเลือดที่ไปสู่ก้อนเนื้องอกของตับโดยตรง แต่ไม่ว่าเราจะรักษาด้วยวิธีใด ๆ ผู้ป่วยที่
เป็นโรคนี้ ก็มีอายุไม่ยืนยาว ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรือน้อยกว่าถ้าไม่รักษาก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
เราจะมีวิธีป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร
ในปัจจุบัน วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้โดยการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดการเลือกฉีดวัคซีน จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
1. ในเด็ก การฝากครรภ์จะทำให้ทราบว่ามารดามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือไม่ ถ้าเป็นโรคนี้
ควรให้วัคซีนแก่ทารก ตั้งแต่แรกคลอดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด ซึ่ง
ถ้าเด็กได้รับเชื้อตั้งแต่แรกเกิดแล้ว จะมีโอกาสเป็นตับแข็ง หรือเนื้องอกของตับตั้งแต่อายุยังน้อย
ส่วนในเด็กที่คลอดจากมารดาที่ปกติ ในปัจจุบันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อเมื่อเด็กโตขึ้น
2. ในผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้น จะเสี่ยงต่อการติดโรคได้มากน้อยเพียงใด ถ้าเสี่ยงต่อการติดโรคนี้
ก็ควรได้รับการฉีดวัคซีน แต่ก่อนฉีดวัคซีนควรได้รับการเจาะเลือดตรวจก่อนว่ามีภูมิต้านทานโรคนี้หรือยัง
เพราะว่ามีคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเจาะเลือดดูจะพบว่ามีภูมิต้านทานอยู่แล้ว หรืออาจมีเชื้ออยู่ในร่างกายแล้ว
ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องฉีดในคนสูงอายุ อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน ก่อนฉีดวัคซีนควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
เราจะปฏิบัติอย่างไร เมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ถ้าหากมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบหรือเปล่า และเป็นชนิดไหน ในกรณีที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรพักผ่อน
ให้มาก ควรงดรับประทานมัน เพราะจะทำให้แน่นอืดท้องและคลื่นไส้เพิ่มมากขึ้น ควรงดดื่มสุราอย่างเด็ดขาด
ในระหว่างที่เป็นโรคนี้อยู่และไม่ควรรับประทานยาที่มีอันตรายต่อตับ