Advertisement
เดือนต่ำดาวตก รุ่งสางอโณทัย หริ่งหริ่งเรไร
สายน้ำระยับ คู่รักพรอดพร่ำ แต่ค่ำถึงเช้า เฝ้าชวนดู
ทุกสิ่งที่เกิด ทุกสิ่งที่เห็น เป็นอนิจจัง
ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงแท้
หมู่ดาวเกลื่อนฟ้ามองว่าสวย เช้ามาก็หายสิ้น
สายน้ำดูพราวตา นานไปอาจเน่าเหม็น
คู่รัก ดูรักยิ่ง สุขจริง คงไม่นาน
เช้าค่ำ คงเวียนย่ำ สุขทุกข์ คงคือกัน
ไม่มีอะไรแน่นอนและยั่งยืนครับ ไม่ว่าธรรมชาติและชีวิต
ธรรมชาติแสนสวยงามที่ทั้งคู่มองเห็น ต่อไปก็เปลี่ยนแปลง อาจด้วยน้ำมือมนุษย์หรือด้วยธรรมชาติเอง
คู่รักวันนี้ดูสุขนัก ชีวิตข้างหน้าไป จะอย่างไร จากพราก สุขทุกข์ เจ็บไข้ ดับสิ้นไป
พระไตรลักษณ์
อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา
ความไม่เที่ยง - ความเป็นทุกข์ - ความไม่เป็นของๆ ใครทั้งสิ้น
พระไตรลักษณ์ เป็นธรรมะสำคัญมาก เป็นแก่นของธรรมชาติทั้งปวง ที่ผู้มุ่งหาทางรู้จักกับโลกรู้จักกับธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง รู้จักความจริงเกี่ยวกับตัวของตัวเอง รู้จักความจริงของกายและใจ เพื่อจะได้รู้เท่าทันและเพื่อการมุ่งทำลายกิเลส ทำลายทุกข์ทั้งปวง ทำลายอวิชชา จะต้องเข้าใจรู้ให้ซึ้งชัดเจนถ่องแท้ เกี่ยวกับพระไตรลักษณ์นี้ (ด้วยการปฏิบัติตน ปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจ)
พระไตรลักษณ์ คือ ความเป็นจริงของสรรพสิ่งในธรรมฝ่ายโลกหรือ ธรรมฝ่ายทุกข์ทั้งปวง ความเป็นจริงที่ว่าก็คือ
(๑)
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง (อนิจจัง)
(๒)
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์ (ทุกขัง)
(๓)
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่ได้เป็นของๆ ใคร ไม่ได้เป็น ใครผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครเป็น ผู้สร้าง (อนัตตา)
อนิจจัง - ไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ทรงเข้าไปตรัสรู้ความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง แต่ที่จริงล้วน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ และดับไป ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าด้วยความสามารถรับรู้ด้วย ผัสสะทั้ง ๖ แบบคนธรรมดาทั่วๆ ไปในชีวิตแบบทั่วๆ ไปนั้น ไม่สามารถเข้าไปสังเกตรู้ได้ ทั้งนี้ในทางธรรมอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะความไม่เที่ยงนี้ถูกบดบังไว้ด้วยความต่อเนื่อง ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างรวดเร็วต่อเนื่องจน คนธรรมดาๆ ไม่สามารถเข้าไปรับรู้ได้ก็เลยนึกว่าเที่ยง
ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์เรานี้เอง ในทางแพทย์ก็พิสูจน์แล้วว่า นับตั้งแต่วันที่คลอดออกมาดูโลกเซลล์ต่างๆ ก็เกิด-ตาย เกิด-ตาย ต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเมื่อมนุษย์คนใดอายุ ๗ ขวบ นั้น ที่จริงแล้วทุกๆ เซลล์ที่เกิดมาพร้อมกับการออกมาดูโลกของ คนๆ นั้นได้ตายไปหมดแล้ว เซลล์ที่เหลือเป็นเซล์ใหม่กว่านั้นทั้งนั้น และก็กำลังเกิด-ตาย เกิด-ตายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนี้ เราไม่รู้ เราก็เห็นๆ อยู่ว่ามนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมา แล้วก็เจริญเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะมาเห็นชัดก็ตอนอายุเข้าเขตชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น อวัยวะต่างๆ เสื่อมสมรรถภาพลงแล้วนั่นแหละ
สิ่งที่มาบดบังความจริงที่ว่าไม่เที่ยงนี้ก็คือ 'ความต่อเนื่อง' เซลล์ก็ เกิดดับต่อเนื่องสืบทอดหน้าที่กันไป กิริยาอาการต่างๆ อารมณ์ ต่างๆ ก็เกิดดับต่อเนื่องสืบทอดกันไปอย่างรวดเร็วจนยากที่จะ สังเกตได้หากไม่ใช้วิธีการโดยเฉพาะ ความต่อเนื่องตัวนี้ภาษา ธรรมเรียกว่า 'สันตติ'
ทุกขัง - เป็นทุกข์
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์
ตามธรรมดาแล้ว เรามักเห็นชีวิตเป็นทุกข์ก็เมื่อต้องเจ็บป่วย มีปัญหา หรือต้องพบกับการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่ต้องการ หรือการต้อง ถูกบังคับหรือมีความจำเป็นต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักไม่ต้องการ
แต่ในความเป็นจริงแท้ๆ แล้ว ความทุกข์มีอยู่ตลอดเวลาแต่เราจับสังเกต ไม่ได้เท่านั้นเอง อย่างเช่น ที่จริงแล้วในชีวิตประจำวันความทุกข์ได้แสดง ตัวอยู่ตลอดเวลากับอาการของกายและใจของเรา แต่เราไม่ทราบ ที่จริงแล้ว เมื่อต้องยืนนานๆ เราก็ทุกข์จึงต้องเปลี่ยนเป็นลงนั้ง นั่งเข้านานๆ ก็เมื่อยและทุกข์จึงเปลี่ยนเป็นนอน นอนที่ว่าเป็นอาการ ที่สบายที่สุดแล้ว เอาเข้าจริงๆ นอนนานๆ ก็เมื่อย ต้องขยับ ต้องเปลี่ยน ท่า ต้องลุกขึ้นนั่ง ลุกขึ้นเดินบ้าง เดินนานๆ ก็เมื่อยต้องลงนั่งพัก ฯลฯ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลานับแต่เกิดจนตายไป แต่เราไม่รู้
ที่เราไม่รู้ก็เพราะว่ามี 'การเปลี่ยนอิริยาบท' เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นไป โดยอัตโนมัติที่เราไม่เคยจับสังเกต ดังนั้น เมื่อมาทำวิปัสสนากรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านจึงบอกให้เดินนานๆ คือ เดินจงกรมให้นานๆ ช้าๆ แต่นานๆ ค่อยๆ สังเกตอาการของกายและใจไปเรื่อยๆ เวลานั่งสมาธิ ท่านก็บอกว่าไม่ให้เปลี่ยนท่า ทั้งนี้เพราะว่าตลอดเวลาในชีวิต มนุษย์เรามีการเปลี่ยนอิริยาบทนี้เอง ที่เข้ามาปิดบังไม่ให้เราเห็น ความจริงที่ว่าที่แท้อะไรๆ ก็เป็นทุกข์ เมื่อเรามาเดินจงกรมและ นั่งสมาธิตามแนววิปัสสนากรรมฐานและสติปัฏฐานสี่นี้เอง เราจึง พยายามเดินจงกรมนานๆ ดูความทุกข์ ดูความเมื่อย ดูไปจนถึง ที่สุดแห่งความทุกข์ความเมื่อยความเจ็บปวด นั่งสมาธิก็ให้พยายาม อยู่ในท่านั้นนานๆ ไม่กระดุกกระดิก เพื่อให้เห็นเท่าทันความเป็นจริง อันนี้ของกายและใจ ว่ากายและใจนอกจากจะไม่เที่ยงแล้วยังเป็นทุกข์
อนัตตา - ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในบังคับบัญชาใครทั้งสิ้น
อีกความจริงอันสำคัญก็คือ สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคลเราเขาที่ไหน ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ล้วนเกิดเพราะเหตุ ได้อัตภาพตัวตนแบบนั้น แบบนี้ก็เพราะมีเหตุมาให้เป็นแบบนั้นแบบนี้
สิ่งที่บดบังไม่ให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเห็นความเป็นจริง (อนัตตา) อันนี้ ก็คือ ความเป็นกลุ่มเป็นก้อน (ฆนสัญญา = ความสำคัญว่าเป็นก้อน ความสำคัญเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งบังปัญญาไม่ให้เห็นภาวะที่เป็น อนัตตา)
กล่าวคือ ที่แท้อย่างเช่นร่างกายเรานี้ก็ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ มาประชุม กัน อวัยวะต่างๆ ก็เกิดจากธาตุทั้งสี่มาประชุมกัน อวัยวะต่างๆ มารวมกัน ประกอบกันเข้าจนเป็นกาย แต่หากลองแยกอวัยวะแต่ละส่วนออกมาวาง ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร เป็นของๆ ใคร อวัยวะต่างๆ เมื่อเค้า จะป่วยไข้ไม่สบายไปใครก็บังคับไม่ได้ บังคับหรือสั่งให้ไม่เจ็บก็ไม่ได้ ให้ไม่แก่ไม่เสื่อมก็ไม่ได้ ฯลฯ แต่เรานึกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรากายเรา ตัวเขากายเขา เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่างๆ ก็เพราะเรามองเห็นทั้งก้อน ทั้งหมด ทั้งแท่ง โดยไม่ได้ เข้าไปเห็นในรายละเอียดจริงๆ ว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นการประกอบกันเข้า ระหว่างสิ่งละเอียดหลายๆ อย่าง มาเป็นสิ่งที่หยาบขึ้นหลายๆ อย่าง มาเป็นสิ่งที่หยาบจนเห็นชัดอย่างเช่นกายของคนๆ หนึ่ง ฯลฯ
ขอขอบคุณ http://www.geocities.com/easydharma/dm004017.html
วันที่ 3 ส.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,725 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,154 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,175 ครั้ง เปิดอ่าน 7,179 ครั้ง เปิดอ่าน 7,147 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,135 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,399 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 13,665 ครั้ง |
เปิดอ่าน 8,663 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,618 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,423 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,247 ครั้ง |
|
|