Advertisement
.....
ขอบคุณที่มา http://www.semsikkha.org/index.php
คนเราก็เท่านี้...จริงๆ นะครับ
คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
"...โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะได้รวบรวมกำลังใจเป็นสมาธิ คำว่า "สมาธิ" แปลว่า "การตั้งใจมั่น" ก็ตั้งใจไว้เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง คือระยะนี้ที่สอนกันมาเป็นพื้นฐาน คือให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้าหายใขออก
เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" เอาเท่านี้พอ ถ้าขณะใดที่จิตของท่านยังรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก รู้คำว่า "พุทโธ" ก็แสดงว่าจิตของท่านเป็นสมาธิ เป็นมหากุศลใหญ่ ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ก็เป็นบุญอนันต์ คือว่าจะนับประมาณอานิสงส์ไม่ได้ ถ้าทรงจิตไว้ได้ตามปกติตายแล้วก็เกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันถึงสมถภาวนาอารมณ์นี้
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงไว้ให้เป็นปกติ จะเป็นเวลานี้หรือเวลาอื่นใดก็ตามทำงานอยู่ นั่งรถนั่งเรือเดินทางไปไหนก็ตาม นึกถึงอารมณ์นี้ไว้เป็นปกติเวลาตายจะไม่หลงตาย จุดที่ไปอย่างเลวก็ต้องสวรรค์ อย่างดีก็ต้องพรหมโลก เพราะว่า "สมถภาวนา" มีผลถึงพรหมโลก และเราจะไปนิพพานได้ ถ้ามีสมถภาวนาแจ่มใสพอสมควร ปัญญาก็จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมาเอง
ในวันนี้ก็จะขอแนะนำ "อนุสติ" ข้อต่อไปเพื่อการเป็นการศึกษาไว้เวลาปฏิบัติ วันนี้จะสอนเรื่อง "มรณานุสติกรรมฐาน" สำหรับมรณานุสติกรรมฐานนี้ เป็นกรรมฐานสำหรับบุคคลที่มีจริตเป็น "พุทธจริต" คือเป็นบุคคลฉลาด บุคคลที่มีความฉลาดแล้วย่อมไม่กลัวความตาย รู้จักสภาวะปกติของ ขันธ์ ๕ คือ "ร่างกาย" ว่ามันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นมีความแปรปรวนในท่ามกลางและก็ตายไปในที่สุด
ทีนี้...การที่นึกถึงความตายไว้เป็นปกติ การนึกถึงความตาย จงอย่านับอายุว่าเวลานี้เรายังหนุ่มอยู่ เรายังสาวอยู่ ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย เวลานี้เราเป็นบุคคลวัยกลางคน มันยังไม่แก่ มันยังไม่ตาย หรือว่าเวลานี้เราแก่แล้วแต่ก็ยังคงไม่ตาย อารมณ์อย่างนี้ไม่ควรคิด เพราะว่าความตายย่อมไม่มีนิมิตเครื่องหมาย
คนที่ตายไม่ใช่ว่าแก่หง่อมแล้วถึงจะตายเสมอไป บางคนเข้าอยู่ในครรภ์มารดาไม่ทันที่จะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันก็ตาย บางรายคลอดจากครรภ์มารดาไม่ทันจะเห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไรก็ตาย บางรายเกิดมาแล้วไม่กี่วันก็ตาย หนุ่มก็ตาย เด็กก็ตายแก่ก็ตาย วัยกลางคนก็ตาย นี่ความตายหาความแน่นอนไม่ได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จงคิดไว้ว่าวันนี้เป็นเวลาค่ำเรายังมีชีวิตอยู่
แต่ว่าเราอาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ความตายอาจมาถึง
ทีนี้คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติดีหรือเลวเป็นประการใด อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติ เป็นคนดีไม่มีความประมาท เมื่อรู้ว่าเราจะตาย สภาวะความตายไม่ใช่สภาวะสูญ ถ้าเรายังไม่หมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นอรหันต์เมื่อไร ความเกิดก็ปรากฏ
เมื่อตายแล้วก็เกิด ไม่ใช่หมายความว่าเกิดเป็นคนเสมอไป ถ้าทำกรรมชั่วไว้ จิตใจสั่งสมอยู่ในอารมณ์ชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดเป็นคนมีความอุดมสมบูรณ์มีความสุขสมบูรณ์กับใครเขาไม่ได้ นี่เป็นปัจจัยของความชั่วที่เราเรียกกันว่าบาป
ทีนี้คนที่มีความดีมีศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็เกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี หรือมีฉะนั้นมีการภาวนาอยู่บ้าง มีศีลมีทานเป็นปกติเกิดเป็นเทวาก็ได้ถ้ามีกำลังใจเป็นฌานสมาบัติทรงความดีไว้เป็นปกติ คำว่า "ฌาน" แปลว่า การเพ่ง เป็นอารมณ์ที่ทรงอยู่ ทรงอยู่แต่เฉพาะในอารมณ์ที่เป็นกุศล เวลาจะตายจิตก็ทรงอยู่ตามนั้น อย่างนี้ตายแล้วเกิดเป็นพรหม ถ้าตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ เราก็ไปพระนิพพาน
เป็นอันว่าความตายมีอยู่ แต่ว่าตายแล้วก็ไม่สูญต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไรก็ช่างสุดแล้วแต่กรรมที่จะพึงกระทำ เมื่อเรารู้แล้วเราทำความดีไปเกิดใหม่ในส่วนผลดีที่มีความสุข ทำความชั่วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ อย่างนี้เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงความชั่วไว้เป็นสำคัญ จงระลึกถึงความตายเป็นปกติ อาจจะคิดว่าวันนี้เรามีชีวิต พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้หรือว่าเวลานี้ขณะที่เรานั่งอยู่อาจจะตายไปก่อนเวลาที่เราจะนอนเสียอีกก็ได้
ถ้าเราคิดไว้อย่างนี้เสมอ จิตใจของเราก็ไม่ประมาท พยายามแสวงหาความดีไว้เป็นปกติ การแสวงหาความดีไว้เป็นปกติจะเอาความดีกันทางไหนล่ะ เรารู้ตัวอยู่ว่าเราจะตายเราก็เลือกทางเอา ถ้าเราต้องการเกิดเป็นมนุษย์ ก็พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามรักษากรรมบถ ๑๐ ให้บริสุทธิ์ เราก็พยายามคุมอารมณ์ศีลให้เป็นปกติ อย่างนี้ตายแล้วเป็นมนุษย์ได้แบบสบาย ๆ แล้วก็เป็นมนุษย์ชั้นดี
ตามพระบาลีว่า "สีเลนะ สุคติง ยันติ" เวลาตายแล้วคนมีศีลจะไปสู่สุคติ มีความสุขสมบูรณ์ "สีเลนะ โภคะสัมปะทา" เราจะมีโภคทรัพย์มากมาย "สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้โดยง่าย ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีล เรานึกถึงความตายไว้แล้ว ถ้าเราต้องการดีเราก็รักษาศีลให้เป็นปกติ
ทีนี้เราต้องการความสุขยิ่งไปกว่านั้น ต้องการไปสวรรค์หรือว่าพรหมโลกเราก็เจริญสมถกรรมฐานเป็นปกติอย่างที่แนะนำว่า เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" หายใจเข้าหายใจออกเป็น "อานาปานุสติกรรมฐาน" กันอารมณ์ฟุ้งซ่านทางจิตได้ คำว่า "พุทโธ" เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน คือ ระลึกนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นปกติ เราก็ไปพรหมโลกได้
ทีนี้การเจริญมรณานุสติกรรมฐาน เราจะไปได้แต่เฉพาะพรหมโลกหรืออย่างไรความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เราสามารถจะไปพระนิพพานได้ โดยยกสมถภาวนาขึ้นเป็นวิปัสสนาภาวนา การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นสมถภาวนา มีผลตั้งแต่กามาวจรสวรรค์ถึงพรหมโลก
ทีนี้การที่มีผลถึงสวรรค์หรือพรหมโลก เมื่อกี้ว่ายังหาความสุขให้เพียงพอไม่ได้ เราก็ต้องสรรหาความสุขให้ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขที่ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ต้องถือความตายเป็นอารมณ์ ว่าเราเกิดมานี้มันต้องตายแน่เราไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่ได้ ความตายเป็นของปกติ เราจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเย็น ตายเที่ยง เมื่อไรนี่เราไม่รู้ แต่ว่ามันต้องตายแน่ เมื่อกฏธรรมดาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า
ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสามอย่างด้วยกัน คือ
๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ ท่านสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่ต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัญหาที่จะควบคุมท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องการกลับมาเกิดอีก เรียกว่า "สมุจเฉทมรณะ" แปลว่า "ตายขาดตอน" ไม่กลับมาเกิดอีก
๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือความดับ หรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไป ใกล้จุดจบสุดยอด คือตายทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือตายทุกลมหายใจออก และเกิดต่อทุก ๆลมหายใจเข้า
อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราว เมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทน แต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทน ชีวิตก็ต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ไปได้ก็เพราะอาหารไหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่าท่านถือว่า ร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่ อีกวาระหนึ่ง การเกิด การตาย ต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้
ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือ ลมหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันทีที่รงอยู่ได้อย่งนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่งค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า "ขณิกมรณะ" แปลว่าตายทีละเล็กทีละน้อย หรือตายเล็ก ๆ น้อย ๆ
๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ "กาลมรณะ" แปลว่า "ตายตามกาลตามสมัย" ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า .ถึงที่ตาย. คือสิ้นอายุ อย่างชนิที่ไม่มีการแก้ไขได้ "อกาลมรณะ" แปลว่า "ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย" แต่ต้องตายเพราะ "กรรม" บางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย
การตายประเภทหลังนี้ พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามความสมควรแต่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้ว เสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็น "สัมภเวสี" แสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน
เมื่อถึงกาลแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้น ต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า "ตายโหง" นั้นเอง เช่น ถูกฆ่าตาย คลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย
รวมความว่า ตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดา เรียกว่า "อกาลมรณะ" คือตายก่อนกำหนดตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือ สามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่นที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาเคราะห็ หรือต่ออายุ การสะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุนั้นต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้ แต่ถ้าต่อแบบหมอชีวิตให้มีความสุข ส่วนผู้ต่อกลายเป็นผู้ต่อทุกข์ไป
อายุวัฒนกุมาร
เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตร ซึ่งมีอยู่ใน "พระไตรปิฎก" คือเรื่องของท่าน "อายุวัฒนสามเณร" มีเรื่องย่อดังนี้
วันหนึ่ง...บิดามารดาพาท่านเมื่อยังเกิดไม่กี่เดือนไปหาพระพุทธเจ้า (ขอเล่าลัดๆ ) เมื่อบิดาลาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอแม่เข้าลาท่านก็ว่าอย่างนั้น ตอนท้าย สองผัวเมียให้ลูกชายกราบลาท่าน ท่านไม่พูด คือท่านเฉยเสีย
สองผัวเมียแปลกใจถามว่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันสองผัวเมียกราบลาพระองค์ให้พรว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน แต่พอเกล้ากระหม่อมฉันให้ลูกชายลา พระองค์ทรงนิ่ง เหตุอะไรจะมีแก่บุตรชายเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองหรือ..พระพุทธเจ้าข้า ?
พระองค์ทรงตรัสตอบว่า เพราะบุตรชายของเธอจะตายภายใน ๗ วันนี้ ตถาคตจึงไม่กล่าวอย่างนั้น สองผัวเมียฟังแล้วตกใจ ขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์สั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้วให้เอาพระไปนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตครบ ๗ คืน ๗ วัน พอวันที่ ๗ เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์จะมาเอาชีวิตวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระองค์เสด็จ พรหมและเทวดาผู้ใหญ่มามาก ยักษ์เข้าไม่ถึง
พอครบเวลาที่ยักษ์จะเอาชีวิต หมายความว่า ถ้าเลยเวลาเขาทำไม่ได้ เขาทำตามกฎของกรรมว่าจะให้ตายเวลาเท่าใด เวลาเท่านั้นเขาจะต้อวทำให้ได้ ถ้าเลยเวลาแล้วเขาก็ไม่ทำ พอเลยเวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็พาพระกลับ เลิกพิธี ก่อนกลับพระองค์ให้พรเด็กว่า ทีฆายุโก โหตุ ต่อมาเด็กคนนั้นมาบวชเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านมีอายุครบ ๑๒๐ ปี จึงนิพพาน
พวก "อกาลมรณะ" นี้ต่อได้อย่างนี้ แต่การต่อต้องเป็นผู้รู้จริง และการทำให้ต้องไม่ปรารภสินจ้างรางวัล ทำเพื่อการสงเคราะห์จริงๆ จึงเกิดผล ว่าจะพูดเรื่องตายเป็นกรรมฐานแอบมาเป็นหมอต่ออายุเสียแล้ว ขอวกกลับไปเรื่องมรณานุสสติใหม่
อานิสงส์ของทาน ศีล ภาวนา
ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้แสวงหาความดีใส่ตัว โดยรู้ว่าชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่อยากจนอีก ก็พยายามให้ทานเสมอๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอเหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละ..จึงจะควร
ถ้ารู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายอยู่เสมอๆ ของหายบ่อยๆ รูปร่างสวยน้อยไป คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ในชาติหน้า จะได้พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีโรคภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชา อยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อยไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญ "สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน" พอมี "ฌาน"มี "ญาณ" เล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ
ถ้าเห็นว่าความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรมีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการเกิดอีกก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่าเจริญ "มรณานุสสติกรรมฐาน"
เพราะกรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์
วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง
พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้ง พระเจ้าข้า
พระองค์ตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้ กำหนดการเกิดหมอบอกได้ แต่กำหนดเวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอน
สำหรับปุถุชนคนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้า หรือท่านที่ชำนาญใน "อานาปานุสสติกรรมฐาน" ท่านสามารถบอกเวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริยเจ้าที่จะบอกเวลาได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้ "วิชชาสาม" เป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน
ท่านเปรียบชีวิตไว้คล้ายกันคนขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้นแล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นพลันสูญไป ชีววิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกัน ความตายรออยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็สิ้นภาวะเมื่อนั้น เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย
ท่านที่เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็นปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่าความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไปก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามเต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็นเหยื่อของวัฏฏะอีก
แม้ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่งจะต้องพังทลายเรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไรในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็คือพระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ อย่างนี้มีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอดเยี่ยม คือถึง "พระนิพพาน" ในชาติปัจจุบันแน่นอน..สวัสดี.
*******************************
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความคิดเห็นที่ 1 โดยคุณ : ครูตุ๋ม
|
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้น ดูแล้วทำให้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ |
|
[14 ก.ค. 2552 เวลา 06:27 น.] [125.26.65.248]
|
|
|
วันที่ 14 ก.ค. 2552
ขายดีมากครับคุณครู (พร้อมส่ง) เครื่องเคลือบบัตรA4 รุ่นSL200 เครื่องเคลือบกระดาษA4 A3 A5 ABSป้องกันการ์ด ในราคา ฿368 - ฿999 ที่ Shopeehttps://s.shopee.co.th/4VLvxbi7ho?share_channel_code=6
Advertisement
เปิดอ่าน 7,158 ครั้ง เปิดอ่าน 7,159 ครั้ง เปิดอ่าน 7,155 ครั้ง เปิดอ่าน 7,159 ครั้ง เปิดอ่าน 7,158 ครั้ง เปิดอ่าน 8,021 ครั้ง เปิดอ่าน 7,173 ครั้ง เปิดอ่าน 7,191 ครั้ง เปิดอ่าน 7,160 ครั้ง เปิดอ่าน 7,152 ครั้ง เปิดอ่าน 7,168 ครั้ง เปิดอ่าน 7,169 ครั้ง เปิดอ่าน 7,166 ครั้ง เปิดอ่าน 7,163 ครั้ง เปิดอ่าน 7,167 ครั้ง เปิดอ่าน 7,162 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,158 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,170 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,160 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,162 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,158 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,177 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,158 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 9,564 ครั้ง |
เปิดอ่าน 11,778 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,034 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,558 ครั้ง |
เปิดอ่าน 19,926 ครั้ง |
|
|