วันนี้ก็เลยมีสถานที่ท่องเที่ยวในโครงการ "9 Destinations Awards 2009" ที่บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และโพสต์ทูเดย์ เขามอบรางวัลให้กับ 9 สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับผลโหวตสูงสุดให้เป็น "สถานที่ท่องเที่ยวสุดประทับใจของเมืองไทย" มาแนะนำให้รู้จัก
9 แหล่งท่องเที่ยวสุดประทับใจนี้มาจากความเห็นผู้เข้าร่วมโหวต 150,000 เสียงทั่วประเทศ ในนี้เป็นนักเดินทางกว่า 25,000 คน และคัดกรองอีกครั้งด้วยสายตาของผู้ทรงคุณวุฒิ 9 ท่าน ซึ่งทั้ง 9 แห่ง ล้วนเป็นสุดยอดครองใจคนไทย คนต่างชาติ ที่ต้องไปให้ครบถึงจะสามารถพูดได้เต็มปากว่า "ได้มาถึงเมืองไทยแล้ว" ก็คือ...
1. ชุมชนอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
สำหรับผู้ที่โหยหาบรรยากาศย้อนยุค และอาหารอร่อยๆ ทุกเย็นวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ สามารถมาสัมผัสได้ที่อัมพวาแห่งนี้ นับจากถนนไปถึงในคลองและตลอด 2 ฟากฝั่งจะเต็มไปด้วยของกินที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ และของกินที่หายากอย่างขนมเทียนสลัดงา ของที่ระลึกที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าสรรหากันมาขาย พอตกค่ำก็มีเรือพาล่องไปชมหิ่งห้อยที่ส่งแสงวอบแวบอยู่ตามต้นไม้ริมคลอง หรือถ้าออกเรือเร็วหน่อยก็แล่นไปทางแม่น้ำแม่กลอง แล้วแวะชมวัดวาอารามต่างๆ ที่เรียงรายอยู่ริมน้ำอุทยาน ร.2 แหล่งเรียนรู้เรื่องดนตรีและวิถีชีวิตไทยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากนี้ อัมพวายังมีสวนผลไม้หลายชนิดให้ผู้มาเยือนได้แวะลองชิม แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นลิ้นจี่พันธุ์อีค่อม ซึ่งจะออกชุกในช่วงเดือน มีนาคม - พฤษภาคม บางคนก็เรียกลิ้นจี่พันธุ์นี้ง่ายๆ ว่าค่อม หรือค่อมลำเจียก
2. ตลาดคลองสวน 100 ปี จังหวัดสมุทรปราการ
ขณะที่ตลาดยุคใหม่เปลี่ยนแปรสภาพไปเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ที่นี่ความเก๋าคือความเก่า ตลาดคลองสวนร้อยปียังคงรักษากลิ่นอายตลาดโบราณไว้ได้เป็นอย่างดี เชื้อชวนให้คนรุ่นใหม่จากทุกสารทิศเดินทางย้อนเวลามาดูการค้ายุคโบราณ ตลาดคลองสวนนั้นตั้งอยู่ริมคลองประเวศบุรีรมย์ ที่ขุดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นแนวแบ่งตำบลคลองสวนของสมุทรปราการ กับตำบลเทพราชของฉะเชิงเทรา สมัยก่อนตลาดแห่งนี้เป็นท่าเรือสำคัญของผู้ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเรือเมล์ขาวของนายเลิศ อันเป็นพาหนะอย่างเดียวในละแวกนี้ที่จะเข้าสู่พระนครได้ เมื่อโลกหันไปหาการโดยสารทางรถแทนเรือ ตลาดคลองสวนจึงถูกเก็บไว้ในกาลเวลา ทำให้ผู้มาเยือนได้มีโอกาสเห็นบ้านเรือนสวยๆ ของยุคก่อน ร้ายโชห่วย โรงเจ สุเหร่า และวัด ที่อุ้มชุมชนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
3. ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
สถานที่ท่องเที่ยวสุดประทับใจของเมืองไทยแห่งที่ 3 ชีวิตง่ายๆ วิวทุ่งนาชวนฝัน และบรรยากาศแสนสงบ คือจินตภาพที่ทุกคนใฝ่ฝันถึงปาย และทำให้เมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยขุนเขา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมได้ในช่วงเวลาไม่กี่ปี อย่าแปลกใจหากคุณเห็นวัยรุ่นนับร้อยโยนเป้ใบโตขึ้นรถเพื่อหลีกลี้จากแสงสี ของเชียงใหม่ ไปแสวงหาความสงบและความฮิปในบรรยากาศชนบทของเมืองปาย จากจุดแวะพักระหว่างทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนในอดีต แต่ทุกวันนี้ปายได้กลายเป็นจุดหมายใหม่โดยตัวของมันเอง มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายไว้คอยต้อนรับนักเดินทาง ตั้งแต่เส้นทางเดินป่า สำรวจธรรมชาติ หรือจะขี่จักรยาน ขี่ช้าง ล่องแพ เที่ยวหมู่บ้านชาวเขา วัดวาอาราม แถมมีร้านรวงน่ารักๆ เกสต์เฮาส์เก๋ๆ ที่ช่วยเติมเสน่ห์เมืองปายให้เด่นชัด และโหมกระแสความนิยมปายให้แรงขึ้นในหมู่นักเดินทางหนุ่มสาว
4. พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์
พิพิธภัณฑ์สิรินธร ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูกุ้มข้าว จังหวัดกาฬสินธุ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งตามพระนามของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นองค์อุปถัมป์ของการศึกษาเรื่องโบราณชีววิทยาในประเทศไทย และนับเป็นแหล่งฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลุมที่ขุดค้นที่วัดสักกะวันเป็นแหล่งสะสมของฟอสซิลนับร้อยๆ ชิ้น ที่คาดว่าน่าจะเป็นกระดูกไดโนเสาร์ไม่ต่ำกว่า 6 ตัว และหนึ่งในนั้นเป็นโครงกระดูกของเซอโรพอต ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ที่เกือบจะสมบูรณ์ทั้งตัว นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงเรื่องราวของไดโนเสาร์ 16 สายพันธุ์ที่เคยมีชีวิตอยู่ในทุ่งกุลาร้องไห้แห่งนี้ และสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ควรศึกษา อาทิ ช้างสี่งา เสือเขี้ยวดาบ สิงโตโบราณ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยน่าตื่นตาตื่นใจ
5. วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง
วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นและสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ตัววัดอยู่บนเนินสูงยกระดับขึ้นจากบริเวณโดยรอบ มีบันไดนาคขนาดใหญ่ทอดยาวสู่ซุ้มประตูโขงที่วิจิตรพิสดาร ถัดไปเป็นหลังคาวิหารและองค์พระธาตุที่เป็นที่เคารพบูชามายาวนานหลายศตวรรษ ซาบซึ้งกับความอลังการของสถาปัตยกรรมวัดแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกตอีกด้วย ใครที่เกิดปีฉลูแนะนำให้เดินทางไปไหว้สักการะ เพราะเป็นพระธาตุประจำปีเกิด
6. วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน
วัดภูมินทร์ หรือชื่อเดิมคือ วัดพรหมมินทร์ มีเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์แห่งเมืองน่าน โปรดให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2139 เป็นวัดเล็กๆ ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่เชื่อไหมว่าวัดแห่งนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองน่านมากว่า 400 ปี และยังเป็นสถานที่แสนลือเลื่องในเรื่องศิลปะและสถาปัตยกรรมของช่างเมือง เหนือที่สวยงามแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งของไทย สะท้อนการหลอมรวมการสร้างสรรค์ของช่างพื้นเมือง เข้ากับศิลปะล้านนาและสุโขทัยได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในที่สุด ภายในโบสถ์ยังมีพระประธาน 4 องค์ ซึ่งปกติในโบสถ์ทั่วไปจะมีพระพุทธรูปที่ถือว่าเป็นพระประธานเพียง 1 องค์ แต่ภายในวิหาร-โบสถ์จตุรมุขของวัดภูมินทร์ มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นพระประธานอยู่ถึง 4 องค์ นั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกันและหันพระพักตร์ไปทางประตู เป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร
7. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
ในเชิงประวัติศาสตร์การเมือง ศรีสัชนาลัยอาจดูเหมือนมีความสำคัญไม่เท่าสุโขทัย ซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน แต่ในเชิงโบราณคดีและศิลปะแล้ว ศรีสัชนาลัยไม่เป็นสองรองใคร หลักฐานจากหลุมขุดค้นที่วัดชมชื่น ทำให้รู้ว่าพื้นที่ริมแม่น้ำยมที่ปัจจุบันอยู่ขอบเขตของอุทยาน มีการตั้งเป็นชุมชนมานานนับพันปี มีมาก่อนการตั้งเมืองโบราณที่เติบโตร่วมสมัยมากับสุโขทัยเสียอีก สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาและมีเวลาชื่นชมรายละเอียดอย่างลึกซึ้ง ร่องรอยที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นซากโบสถ์ วิหาร เจดีย์ หรือพระพุทธรูป ก็ยังสะท้อนให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองแห่งศรีสัชนาลัยได้อย่างน่าทึ่ง
8. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ พื้นที่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่สวยงามตามตำราการตั้งเมืองโบราณทางฝ่ายเหนือ คือมีขุนเขาเป็นปราการอยู่ด้านหลัง และมีแม่น้ำยมไหลผ่านทางด้านหน้า (ทิศตะวันออก) บนที่ราบเชิงเขาผืนใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างกลาง มีโบราณสถานรูปแบบต่างๆ เช่น เจดีย์ โบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูป เรียงรายอยู่มากมาย อุทยานแห่งนี้จึงเป็นแหล่งรวมเอกลักษณ์ทั้งทางสถาปัตยกรรม และการวางผังเมืองของกรุงสุโขทัย เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความรุ่งเรือง และอัจฉริยภาพของชนชาวสยามในยุคนั้น จุดเด่นอยู่ที่วัดศรีชุมที่มีพระอจนะ หรือพระผู้ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสประดิษฐานอยู่ ด้วยองค์พระมีขนาดสูงใหญ่ล้อมรอบด้วยซากกำแพงสูงของมณฑป ที่มีทางลับให้คนปีนขึ้นไปข้างบนจนเป็นแหล่งกำเนิดตำนานพระพูดได้
9. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์์
แหล่งท่องเที่ยวสำหรับหน้าฝน เมื่อฝนมาเยือน ขุนเขาทางภาคเหนือส่วนใหญ่จะเงียบเหงาไร้นักท่องเที่ยว แต่ที่ภูสอยดาวติดตะเข็บชายแดนไทย-ลาว กลับคึกคักไปด้วยเหล่าผู้รักธรรมชาติ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก จะต้องมีคนเดินไปตามเส้นทางขึ้นเขา 6.5 กิโลเมตร ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงลานสนบนยอดภูที่อยู่สูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร เพราะทุกฤดูฝนที่แห่งนี้จะเวทีของเทศกาลดอกไม้อันยิ่งใหญ่ และบรรดาน้ำตกก็จะมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด เท่าที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ให้หมู่มนุษย์ได้เชยชม
แนะ นำอย่างครบถ้วนกระบวนความ เหลือแต่ว่าผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวจะพาตัวเองไปสัมผัสสถานที่ที่ได้รับ การการันตีว่าสุดยอดอย่างแท้จริงเมื่อใด!!!
ขอขอบคุณข้อมูลจาก