จันทโครพ
เรื่องจันทโครพนี้ บางครั้งก็เรียกว่า “เรื่องโมรา” เพราะว่าโมรามักจะถูกมองว่าเป็นหญิงชั่วร้ายที่ฆ่าได้แม้กระทั่งสามีตนเอง โดยส่งพระขรรค์ให้โจรป่าฆ่าสามีตนเอง และต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องโดยย่อ
จันทโครพเป็นโอรสของพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงรักพระโอรสดั่งดวงพระทัยของพระองค์เลยที่เดียว ดังนั้นพระกุมารจึงแวดล้อมไปด้วยพระพี่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพระกุมารจะต้องปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า จึงจำเป็นจะต้องศึกษาวิชาทุกแขนงอันเป็นประโยชน์ต่อการปกครองของตนในอนาคต วันหนึ่งในขณะที่ทรงเพลิดเพลินอยู่ในพระราชอุทยานนั้น พระราชาก็ทรงรับสั่งให้พระกุมารเข้าเฝ้าแล้วรับสั่งให้พระกุมารไปศึกษาศิลปวิชาการกับพระฤๅษีในป่า พระกุมารก็ยินดีปฏิบัติตามพระประสงค์พระราชบิดา และเดินทางไปอยู่กับพระฤๅษี
หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว เจ้าชายจันทโครพก็เข้าไปกราบลาพระอาจารย์กลับบ้านเกิดเมืองนอน ของตน ว่าแล้วพระฤๅษีก็หยิบผอบเล็ก ๆ ส่งให้พร้อมกับกำชับอย่างหนักแน่น
“ เจ้าจงเก็บไว้กับตัว แต่จงจำไว้ว่าเจ้าจะเปิดผอบได้ก็ต่อเมื่อถึงเมืองของตนแล้วเท่านั้น อย่าเปิดในระหว่างเดินทาง มิฉะนั้นเจ้าจะประสบอันตรายถ้าไม่เชื่อฟัง ” พระฤๅษีกล่าวขึ้น
“ ครับท่านอาจารย์ หลานจะเปิดผอบก็ต่อเมื่อหลานถึงบ้านเมืองของหลานแล้วเท่านั้น ” เจ้าชายยืน ยันหนักแน่น
และแล้วจันทโครพก็มุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านเมืองของตน เมื่อถึงเวลาเสวยอาหารกลางวันก็เข้าไปนั่ง ใต้ต้นโคนร่มไม้แล้วควักห่ออาหารแห้งที่เตรียมไว้ก่อนลาพระอาจารย์มาเสวย หลังจากเสวยเสร็จก็เกิดเคลิ้มหลับไป และก็สุบินว่า ผอบที่พระอาจารย์ให้ไว้นั้นหลุดจากมือตนตกลงน้ำไปแล้ว พระสุบินนี้เองที่กระตุ้นให้พระองค์อยากเปิดผอบดู แต่ก็ยังคงกังวลถึงคำสั่งของพระอาจารย์
ในระหว่างทาง เจ้าชายหนุ่มก็ทรงครุ่นคิดถึงผอบที่ติดตัวมาตลอดเวลา และแปลกพระทัยว่าอะไรหนอที่อยู่ข้างในนั้น ยิ่งนึกก็ยิ่งอยากเปิดดูให้แน่ และในที่สุด พระองค์ก็ตัดสินพระทัยผิดคำพูดโดยการเปิดผอบออก และในทันทีที่ฝาผอบถูกเปิดออก ก็มีหญิงสาวผู้เลอโฉมปรากฏออกมาจากผอมใบนั้น เธอส่งยิ้มหวาน ๆ ให้เจ้าชายหนุ่มผู้ซึ่งทอดพระเนตรอยู่ด้วยความตื่นเต้นและแนะนำตัวนางว่า
“ นายจ๋า หม่อนฉันชื่อโมราเพคะ พระฤๅษีใส่หม่อมฉันไว้ในผอบใบนี้ หม่อมฉันดีใจมากที่ได้เป็นอิสระเสียที ”
ทันทีที่เห็นหญิงสาว เจ้าชายหนุ่มก็ตกหลุมรักในทันที และขอให้นางเป็นชายาของพระองค์และแล้วทั้งคู่ก็เดินทางกันในป่า เจ้าชายจันทโครพดีพระทัยมากที่เพื่อนเดินทางแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงกังวลว่าทำไมพระฤๅษีจึงห้ามไม่ให้เปิดผอบในระหว่างทาง ทรงครุ่นคิดเพียงลำพังแล้วก็สรุปเอาเองว่าพระฤๅษีอาจจะทดสอบดูว่าตนเป็นคนสอดรู้สอดเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พระฤๅษีพูดนั้นก็ปรากฏว่ากำลังจะเป็นจริงแล้วพระว่ามีโจรป่าแอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ นั้น เขาแอบดูความเคลื่อนไหวของทั้งคู่อยู่อย่างเงียบ ๆ และเมื่อได้เห็นความงามของนางโมราก็อยากได้ไปเป็นภรรยา ช่วงเวลานั้นโมรารู้สึกกระหายน้ำมาก คอของนางแห้งผากแต่ว่าไม่มีน้ำสักหยดให้นางดื่มกินได้ เจ้าชายจันทโครพก็ใช้พระขรรค์แทงเนื้อรินพระโลหิตให้โมราดื่มกินแก้กระหาย ในขณะนั้นเองโจรป่าก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ทันทีและยืนอยู่เบื้องหน้าของทั้งคู่ โจรป่ากล่าวหาทั้งคู่ว่าบุกรุกเข้ามายังถิ่นของตน แต่เจ้าชายยืนกรานว่าป่าไม้ใช่ที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ชายทั้งสองจึงเกิดโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกต่อไป เจ้าโจรพุ่งเข้าใส่จันทโครพแล้วชกเขาล้มลงกับพื้นก่อนที่ จันทโครพจะมีโอกาสชักพระขรรค์ออกมาเสียด้วยซ้ำไป ทั้งคู่ต่อสู้กันอยู่บนพื้นอยู่พักหนึ่งก่อนที่โจรป่าได้เปรียบ แต่เจ้าชายมีทักษะในการต่อสู้ได้ดีกว่าเพราะได้รับการสั่งสอนมาจากพระฤๅษี จันทโครพจึงสามารถผลักโจรป่าและเรียกให้ภรรยาพระขรรค์ให้ตน โมราจับพระขรรค์ไว้แต่ลังเลที่จะส่งให้สามีตนเพราะไม่ต้องการให้เจ้าชายฆ่า โจรป่าผู้ซึ่งเป็นคนที่นางมีใจให้อยู่ด้วยเหมือนกันในตอนนี้ เมื่อไม่สามารถจะตัดสินใจได้ในยามคับขันเช่นนี้ นางก็วางพระขรรค์ไว้ตรงกลางชายทั้งสอง แต่ว่าให้ด้ามหันไปทางโจรป่า ในขณะที่ด้านคมหันไปทางสามีทั้งคู่จึงกรูกันไปแย่งอาวุธในเวลาพร้อมกัน จันทโครพถูกคมมีดบาดจึงปล่อยพระขรรค์ เป็นจังหวะที่โจรป่าได้โอกาสเพราะกำด้ามพระขรรค์ได้โอกาสเพราะกำด้ามพระขรรค์ได้ จึงแทงเจ้าชายจันทโครพสิ้นพระชนม์อยู่ตรงนั้นเอง ร่างของเจ้าชายนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้เองที่โมรารู้สึกใจที่เห็นร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าชายจันทโครพแต่ก็สายเกิน ไปที่จะช่วยชีวิตให้ ฟื้นคืนมาได้ และแล้วนางก็ตามโจรป่าผู้ซึ่งจูงมือนางนำทางไป หลังจากได้โมราเป็นภรรยาแล้วโจรป่าก็มาคิด ตรึกตรองว่า หญิงผู้นี้เป็นคนชั่วร้ายเพราะแม้แต่สามีของนางก็ยังทรยศได้ลงคอ นางฆ่าได้แม้กระทั่งชายผู้ซึ่งเสียสละเลือดให้นางดื่มกินแทนน้ำ ในภายภาคหน้านางก็อาจจะกระทำแบบนี้กับเขาก็ได้ ในขณะที่โมรานอนหลับโจรป่าก็ทิ้งนางไว้ในป่าแต่เพียงลำพัง
เมื่อตื่นขึ้นมา ไม่พบสามีใหม่ โมราก็หลงทางในป่าแต่เพียงลำพัง และรู้สึกหิวอย่างมาก นางไม่รู้ว่า จะหาอาหารอย่างไร จึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ฝ่ายพระอินทร์เมื่อเล็งทิพยเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็เสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อสอนบทเรียน แก่โมราให้เข็ดหลาบและช่วยชุบชีวิตจันทโครพแล้วพระองค์ก็แปลงร่างเป็นเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อไว้ในปาก
ทันทีที่เห็นชิ้นเนื้อในปากนก โมราก็ร้องเรียกขอส่วนแบ่งบ้าง แต่เหยี่ยวทำเป็นแกล้งถามว่านางจะ ให้อะไรเป็นของแลกเปลี่ยนกับชิ้นเนื้อของตน โมราไม่รีรอที่จะเสนอตัวเองเป็นภรรยาของสัตว์เดรัจฉานอย่าง เช่นเหยี่ยว เมื่อได้ยินเช่นนี้ นกเหยี่ยวก็โกรธมากและทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นพระอินทร์อย่างเดิม พระองค์ ชี้นิ้วไปที่โมราและประมาณว่า
“ เจ้าเป็นหญิงชั่วร้าย แม้ว่าเจ้าจะมีสามีที่ดีแสนดีก็ยังแบ่งใจให้ชายอื่นที่ตนไม่รู้จักมาก่อนเมื่อโจร ป่าหนีไปจากเจ้าตอนนี้เจ้าตอนนี้ก็ยังยกกายให้เป็นภรรยาของเหยี่ยวอีกเพียงเพื่อ ให้ได้มาซึ่งชื้นเนื้อเท่านั้น เจ้าพร้อมที่จะสมสู่กับสัตว์เดรัจฉานโดยปราศจากยางอาย ”
ทันทีที่สิ้นคำประมาณของพระอินทร์ร่างของโมราก็กลายเป็นชะนี พร้อมน้ำตานองหน้าร้องเรียกหา ผัว ผัว ผัว ผัว แล้วนางชะนีที่มีหน้าเศร้าก็โดดเข้าป่าหายไป ตั้งแต่นั้นมาชะนีก็จะร้องหาผัวอยู่ตลอดเวลา บางแห่งก็จบเนื้อเรื่องแต่เพียงเท่านี้ แต่ก็มีบางแห่งกล่าวว่าพระอินทร์ทรงร่ายมนต์ชุบเจ้าชายจันทโครพให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง และทรงตรัสสอนเจ้าชาย
เราคือพระอินทร์ เจ้ามีกรรมแต่หนหลัง โมราเป็นหญิงชั่วร้ายไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของเจ้า หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นภรรยาของเจ้าแท้ที่จริงแล้วเป็นธิดาพญานาค พระอินทร์ทรงตรัสแล้วก็หายไป
กล่าวกันว่าและแล้วเจ้าชายจันทโครพก็ได้พบเนื้อคู่ในอนาคตของพระองค์มีนามว่า “ นางมุจลินท์ ” ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำทอง บิดาของนางรักนางดุจดวงใจ จึงให้นางอยู่แต่ในถ้ำท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา
อย่างไรก็ตาม จันทโครพก็สามารถเล็ดลอดเข้าไปจนได้และเกี๊ยวพาราสีนาง จนกระทั่งนางหลงรักพระองค์ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งนางมุจลินทร์มีครรภ์แล้วจันทโครพก็ตัดสินใจเข้าไปขอขมาพญานาคและแล้วทั้งคู่ก็ออกเดิน ทางไปยังเมืองของเจ้าชายจันทโครพ เพราะราชบิดาของพระองค์กำลังรอการกลับมาของ พระองค์ ในเนื้อเรื่อง กล่าวว่าในระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปนั้น ทั้งคู่ก็พบกับศตรูและอุปสรรคมากมาย แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ได้กลับมาอยู่ และปกครองเมืองพรหมทัตจนกระทั่งชราภาพ และสิ้นพระชนม์อย่างสงบ พระโอรสของทั้งสองพระองค์พระนามว่า “ เจ้าชายจันทวงศ์ ” ได้ขึ้นครองราชย์แทน และปกครองพระนครอย่างมีความสุขเรื่อยมา