![Michael Jackson Paris Match Magazine 3 April 1997 Cover Photo - France](http://j.bdbphotos.com/pictures/H/5L/H5S3W9P_large.jpg)
เจ. แรนดี้ ทาราบอร์เรลลี่ ผู้เคยพบไมเคิล แจ็คสัน มาตั้งแต่เด็กและได้รับความไว้วางใจจากไมเคิลมานานถึง 40 ปี ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับไมเคิลเท่าที่เขาทราบ ลงในเว็บไซท์หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ซึ่งเป็นการเปิดเผยว่า โจ พ่อของไมเคิลเป็นนิสัยใจคออย่างไร รวมถึงแคทเธอรีน แม่ผู้ทุกข์โศกของเขา ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ชั่วคราวให้กับลูก 3 คน ของไมเคิล
ลิซ่า มารี เพรสลีย์ ภรรยาคนแรกของไมเคิลเชื่อมานานแล้วว่า ไมเคิลไม่ควรจะเป็นพ่อคนเพราะวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะเลี้ยงลูกได้ เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นฝ่ายที่ยังต้องการพ่อแม่มากกว่า
ลิซ่า มารีไม่มีความคิดที่จะมีลูกกับเขา แต่เขาก็ไม่ท้อถอยด้วยการหันไปแต่งงานใหม่กับเพื่อนเก่าแก่อย่างเดบบี้ โรว์ นางพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความผิดปกติของผิวหนัง และเธอก็มีลูกให้เขา ซึ่งเกิดมาจากการผสมเทียม ท่ามกลางกระแสข่าวในสัปดาห์นี้ที่ว่า ทั้งไมเคิลและเดบบี้ ต่างก็ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของลูกทั้ง 2 คนของพวกเขา
![](http://www.telegraph.co.uk/telegraph/multimedia/archive/01006/michael-jackson-46_1006512c.jpg)
ตอนที่เด็บบี้ไปบอกกับพ่อของเธอเกี่ยวกับวิธีการผสมเทียม พ่อของเธอถามกลับมาว่า ไมเคิลไม่มี
ความสามารถในการมีลูกเองเหมือนคนอื่นหรือ เธอหัวเราะและตอบว่า ไมเคิลไม่ทำอะไรเหมือน
คนอื่นอยู่แล้ว
ท่ามกลางการคัดค้านของนางแคทเธอลีน แม่ผู้เคร่งศาสนา ไมเคิลก็ดื้อดึงแต่งงานกับเด็บบี้จนได้ หลังหย่าขาดจากลิซ่า มารี โดยเด็บบี้ซึ่งท้องได้ 6 เดือน ได้สวมชุดเจ้าสาวสีดำ เดินตรงไปหาเขาที่ห้องสูทของโรงแรมในซิดนีย์ ขณะที่เขานั่งเล่นเปียโนเพลง " เฮีย คัมส์ เดอะ ไบรด์ "
![](http://image.examiner.com/images/blog/wysiwyg/image/debiroweR_468x551.jpg)
ไมเคิลใช้ครีมรองพื้นหนาจนหน้าเกือบจะขาวโพลน และทาอายไลเนอร์เข้มพิเศษ เขาสวมหมวกและมีปอยผมหยิกยาวลงมาที่ด้านข้างใบหน้า และติดจอนปลอมข้างใบหู ขณะที่เพื่อนเจ้าบ่าวชื่อแอนโธนี่ ซึ่งไมเคิลอ้างว่าเป็นญาติ มีวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น
ทาราบอร์เรลลี่คิดว่า ลิซ่า มารี อาจคิดถูกแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามมาเพียงไม่กี่ปี ดูเหมือนจะช่วยยืนยันความคิดของเธอที่ว่าไมเคิลไม่พร้อมเป็นพ่อคน ปริ๊นซ์ ไมเคิล แจ็คสัน ลูกชายคนโต เกิดที่โรงพยาบาล เมื่อปี 2540 โดยมีไมเคิลและเด็บบี้ตัดสายสะดือด้วยกัน
ขณะที่เด็บบี้ยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ไมเคิลก็รีบพาลูกกลับไปยังคฤหาสน์เนเวอร์แลนด์แล้ว อีก 6 สัปดาห์ต่อมา ไมเคิลกับเด็บบี้ก็ถ่ายรูปกับลูกชายด้วยความภาคภูมิใจแต่นั่นคือครั้งแรกที่เด็บบี้ได้เห็นลูก นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดเขา หลังจากนั้นเธอถูกส่งตัวไปอยู่ที่อื่น เธอเป็นแม่อุ้มบุญที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูเขา
![](http://4.bp.blogspot.com/_vWsABSskkuc/SHfWqB_qYbI/AAAAAAAAA0I/eCn9vCy22sI/s400/mikeskids.jpg)
พนักงานคนหนึ่งในเนเวอร์แลนด์เปิดเผยว่า ไม่เคยเห็นเด็บบี้ มีทีมพี่เลี้ยง 6 คน และพยาบาล 6 คนคอยดูแลเด็ก แต่คนเหล่านี้ทำงานเป็นกะ เพราะจะต้องมีพี่เลี้ยง 2 คน และพยาบาล 2 คน คอยอยู่กับเด็กตลอดเวลา และต้องทำงานภายใต้กล้องวงจรปิดที่ควบคุมโดยทีม รปภ.ของไมเคิล
พวกพี่เลี้ยงเด็กทุกคนได้ผ่านการอบรมมาเป็นพิเศษ โดยทีมที่อยู่กลางวันจะต้องฝึกเรื่องการสร้างความแข็งแรงให้กับเด็ก ส่วนทีมกลางคืนจะต้องอ่านหนังสือและร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งเท่ากับว่าเด็กไม่ได้อยู่กับแม่เลย
![](http://blogs.theage.com.au/lifestyle/trashtalk/jackson_child.jpg)
พี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกว่า ต้องคอยวัดคุณภาพแอร์ในห้องนอนทารกทุกชั่วโมง ตอนที่ป้อนอาหาร ภาชนะทุกชนิดต้องผ่านการต้ม และใช้ครั้งเดียวก็ต้องโยนทิ้ง เช่นเดียวกับพวกของเล่น แต่ละคืนจะมีของเล่นถูกเอาทิ้ง ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัย และจะได้ของใหม่มาเปลี่ยนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า หลังคลอดลูกคนแรกให้ไมเคิล เด็บบี้ก็ประกาศว่า เธอท้องลูกคนที่ 2 จากการทำกิ๊ฟให้ไมเคิลอีก ทำให้เธอได้กลับคืนสู่เนเวอร์แลนด์ พร้อมกับเงินอีกหลายล้านดอลล่าร์เป็นค่าตอบแทน ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นบ้านหลังงามของเธอในลอส แองเจลิส ที่เธอย้ายเข้าไปอยู่กับสุนัข 2 ตัว
ปารีส แคทเธอรีน ไมเคิล แจ็คสัน ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนที่สอง เกิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2541 หลังจากนั้นเด็บบี้ก็ขอหย่า ซึ่งไมเคิลก็ยอมรับและแน่นอนว่า เธอได้ค่าเลี้ยงดูไปหลายล้านดอลล่าร์ แต่หลังจากนั้นก็พบแม่อุ้มบุญเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้ไม่มีการเปิดเผยชื่อ แต่ผู้หญิงคนนี้ให้ลูกคนที่ 3 แก่ไมเคิล เป็นผู้ชาย มีชื่อว่า ปริ๊นซ์ ไมเคิล ที่ 2 เมื่อปี 2545 เขามีชื่อเล่นว่า แบล็งเค็ต ซึ่งแจ็คสันอธิบายว่า มันหมายถึง"สิ่งที่ใช้ปกป้องคนที่เรารักและเอาใจใส่ " ..ผ้าห่มคุ้มภัยนั่นเอง
![](http://3391.voxcdn.com/wp-content/uploads/2009/06/michael-jackson-02-2009-06-04.jpg)
มาร์ติน บาร์เชียร์ ที่เคยไปทำสารคดีสัมภาษณ์ไมเคิล นานถึง 8 เดือน เรื่อง " ลีฟวิ่ง วิท ไมเคิล แจ็คสัน "กล่าวว่า ไมเคิลปกป้องลูกมากเกินไป พ่อแม่ของเขาได้ไปที่คฤหาสน์เนเวอร์แลนด์ เพื่อดูความเป็นอยู่ของลูกชายและหลาน ๆ ซึ่งพบว่า ปริ๊นซ์ไมเคิลกับปารีส เป็นเด็กฉลาด มั่นใจ และจิตใจดี ส่วนคนเล็กก็ดูพอใจในสิ่งที่เขาเป็น พวกเขาสวดอ้อนวอนก่อนรับประทานอาหาร สุภาพ ช่างติดและร่าเริง
ไมเคิลจะไม่ชอบใจเวลาลูกๆสบถ ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกที่รายล้อมรอบตัวเด็กๆล้วนเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับลูก หรือตีก้น ถ้าใครอาละวาด ก็จะถูกส่งเข้ามุมไปสงบสติอารมณ์ ไมเคิลอธิบายว่า เขาเอาของเล่นของลูกและของขวัญที่ได้รับจากแฟนเพลงทั่วโลก ที่ได้มาเป็นของขวัญคริสต์มาส ไปให้กับเด็กกำพร้าทั่วโลก
เขาสอนลูกไม่ให้ ให้ความสำคัญกับของเล่นมากกว่าเพื่อน เขาสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน เพราะคิดย้อนไปถึงสมัยเด็กที่เขามีชื่อเสียงและร่ำรวยแล้ว เวลาเขาเล่นกับเพื่อน เพื่อนจะยอมให้เขาชนะ แต่ไม่ยอมให้เขามาเล่นด้วยอีก
ยังมีเรื่องแปลกอีกหลายเรื่อง เช่น ไมเคิลไม่ชอบให้ลูกอยู่หน้ากระจกนานเกินไป และครั้งหนึ่งไมเคิลพาลูกคนโตไปสตูดิโอด้วย แล้วเขาทำป๊อปคอร์น หกกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้น โปรดิวเซอร์ซึ่งเกรงใจ ซูเปอร์สตาร์ กำลังจะก้มลงเก็บ แต่ไมเคิลได้เข้าไปขวางไว้
ไมเคิลได้กล่าวขอโทษและบอกว่า ลูกชายของเขาทำหก เขาจะเก็บเอง ซึ่งโปรดิวเซอร์ กล่าวว่า เขาได้แต่มองแจ็คสันคุกเข่าเก็บป๊อปคอร์นของลูกชาย เขาไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นมาดอนน่า เธอจะทำแบบนี้หรือไม่ ...อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกว่าไมเคิลน่ารักจัง
![](http://www3.pictures.gi.zimbio.com/Michael+Jackson+Case+Continues+Eu6aRsUbZZjm.jpg)
![](http://msnbcmedia2.msn.com/j/ap/ny10706220205.widec.jpg)
แคทเธอรีน แม่ของแจ็คสัน บอกว่า แม้จะมีชีวิตที่สุขสบายกว่าในอดีต ในฐานะเป็นแม่ซูเปอร์สตาร์ มีเสื้อโค้ทขนมิงค์ มีเพชรพลอย แต่เธอก็ต้องทุกข์ใจกับปัญหาที่รุมเร้าลูกชาย เธอเล่าด้วยว่าเธอเองเป็นโปลิโอตอนอายุได้ 18 เดือน และต้องสวมอุปกรณ์ช่วยจนเข้าสู่วัยรุ่น เธอพบกับสามีคือ โจ ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีที่เหมือนกันคือ ต่างก็เป็นนักดนตรี แต่เชื่อว่าไมเคิลสืบทอดพรสวรรค์จากแม่ และมีข่าวว่าเธอต้องอดทนกับการนอกใจของสามี
ขณะที่เรื่องอื้อฉาวการล่วงละเมิดทางเพศที่ไมเคิลเผชิญทำให้โรคความดันของเธอกำเริบ แต่สิ่งที่ให้เธอน้อยใจก็คือไมเคิลกลับเอาปัญหาต่าง ๆ ของเขาไปปรึกษาเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ ที่เขารักเหมือนแม่ แคทเธอรีนกล่าวว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอคือการย้อนกลับไปสมัยอยู่ที่แกรี่ ตอนที่ลูก ๆ ของเธอยังนอนร่วมห้องเดียวกัน เธอยอมละทิ้งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ เพียงให้ได้ย้อนไปสู่วันเก่า ๆ ที่ครอบครัวยังใช้ชีวิตกันตามปกติ ...แต่เวลาและวารีไม่เคยรอใครและไม่เคยหวน