เจ. แรนดี้ ทาราบอร์เรลลี่ ผู้เคยพบไมเคิล แจ็คสัน มาตั้งแต่เด็กและได้รับความไว้วางใจจากไมเคิลมานานถึง 40 ปี ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับไมเคิลเท่าที่เขาทราบ ลงในเว็บไซท์หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ซึ่งเป็นการเปิดเผยว่า โจ พ่อของไมเคิลเป็นนิสัยใจคออย่างไร รวมถึงแคทเธอรีน แม่ผู้ทุกข์โศกของเขา ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ชั่วคราวให้กับลูก 3 คน ของไมเคิล
ลิซ่า มารี เพรสลีย์ ภรรยาคนแรกของไมเคิลเชื่อมานานแล้วว่า ไมเคิลไม่ควรจะเป็นพ่อคนเพราะวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะเลี้ยงลูกได้ เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นฝ่ายที่ยังต้องการพ่อแม่มากกว่า
ลิซ่า มารีไม่มีความคิดที่จะมีลูกกับเขา แต่เขาก็ไม่ท้อถอยด้วยการหันไปแต่งงานใหม่กับเพื่อนเก่าแก่อย่างเดบบี้ โรว์ นางพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความผิดปกติของผิวหนัง และเธอก็มีลูกให้เขา ซึ่งเกิดมาจากการผสมเทียม ท่ามกลางกระแสข่าวในสัปดาห์นี้ที่ว่า ทั้งไมเคิลและเดบบี้ ต่างก็ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของลูกทั้ง 2 คนของพวกเขา
ตอนที่เด็บบี้ไปบอกกับพ่อของเธอเกี่ยวกับวิธีการผสมเทียม พ่อของเธอถามกลับมาว่า ไมเคิลไม่มี
ความสามารถในการมีลูกเองเหมือนคนอื่นหรือ เธอหัวเราะและตอบว่า ไมเคิลไม่ทำอะไรเหมือน
คนอื่นอยู่แล้ว
ท่ามกลางการคัดค้านของนางแคทเธอลีน แม่ผู้เคร่งศาสนา ไมเคิลก็ดื้อดึงแต่งงานกับเด็บบี้จนได้ หลังหย่าขาดจากลิซ่า มารี โดยเด็บบี้ซึ่งท้องได้ 6 เดือน ได้สวมชุดเจ้าสาวสีดำ เดินตรงไปหาเขาที่ห้องสูทของโรงแรมในซิดนีย์ ขณะที่เขานั่งเล่นเปียโนเพลง " เฮีย คัมส์ เดอะ ไบรด์ "
ไมเคิลใช้ครีมรองพื้นหนาจนหน้าเกือบจะขาวโพลน และทาอายไลเนอร์เข้มพิเศษ เขาสวมหมวกและมีปอยผมหยิกยาวลงมาที่ด้านข้างใบหน้า และติดจอนปลอมข้างใบหู ขณะที่เพื่อนเจ้าบ่าวชื่อแอนโธนี่ ซึ่งไมเคิลอ้างว่าเป็นญาติ มีวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น
ทาราบอร์เรลลี่คิดว่า ลิซ่า มารี อาจคิดถูกแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามมาเพียงไม่กี่ปี ดูเหมือนจะช่วยยืนยันความคิดของเธอที่ว่าไมเคิลไม่พร้อมเป็นพ่อคน ปริ๊นซ์ ไมเคิล แจ็คสัน ลูกชายคนโต เกิดที่โรงพยาบาล เมื่อปี 2540 โดยมีไมเคิลและเด็บบี้ตัดสายสะดือด้วยกัน
ขณะที่เด็บบี้ยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ไมเคิลก็รีบพาลูกกลับไปยังคฤหาสน์เนเวอร์แลนด์แล้ว อีก 6 สัปดาห์ต่อมา ไมเคิลกับเด็บบี้ก็ถ่ายรูปกับลูกชายด้วยความภาคภูมิใจแต่นั่นคือครั้งแรกที่เด็บบี้ได้เห็นลูก นับตั้งแต่เธอให้กำเนิดเขา หลังจากนั้นเธอถูกส่งตัวไปอยู่ที่อื่น เธอเป็นแม่อุ้มบุญที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูเขา
พนักงานคนหนึ่งในเนเวอร์แลนด์เปิดเผยว่า ไม่เคยเห็นเด็บบี้ มีทีมพี่เลี้ยง 6 คน และพยาบาล 6 คนคอยดูแลเด็ก แต่คนเหล่านี้ทำงานเป็นกะ เพราะจะต้องมีพี่เลี้ยง 2 คน และพยาบาล 2 คน คอยอยู่กับเด็กตลอดเวลา และต้องทำงานภายใต้กล้องวงจรปิดที่ควบคุมโดยทีม รปภ.ของไมเคิล
พวกพี่เลี้ยงเด็กทุกคนได้ผ่านการอบรมมาเป็นพิเศษ โดยทีมที่อยู่กลางวันจะต้องฝึกเรื่องการสร้างความแข็งแรงให้กับเด็ก ส่วนทีมกลางคืนจะต้องอ่านหนังสือและร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งเท่ากับว่าเด็กไม่ได้อยู่กับแม่เลย
พี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกว่า ต้องคอยวัดคุณภาพแอร์ในห้องนอนทารกทุกชั่วโมง ตอนที่ป้อนอาหาร ภาชนะทุกชนิดต้องผ่านการต้ม และใช้ครั้งเดียวก็ต้องโยนทิ้ง เช่นเดียวกับพวกของเล่น แต่ละคืนจะมีของเล่นถูกเอาทิ้ง ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัย และจะได้ของใหม่มาเปลี่ยนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า หลังคลอดลูกคนแรกให้ไมเคิล เด็บบี้ก็ประกาศว่า เธอท้องลูกคนที่ 2 จากการทำกิ๊ฟให้ไมเคิลอีก ทำให้เธอได้กลับคืนสู่เนเวอร์แลนด์ พร้อมกับเงินอีกหลายล้านดอลล่าร์เป็นค่าตอบแทน ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นบ้านหลังงามของเธอในลอส แองเจลิส ที่เธอย้ายเข้าไปอยู่กับสุนัข 2 ตัว
ปารีส แคทเธอรีน ไมเคิล แจ็คสัน ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนที่สอง เกิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2541 หลังจากนั้นเด็บบี้ก็ขอหย่า ซึ่งไมเคิลก็ยอมรับและแน่นอนว่า เธอได้ค่าเลี้ยงดูไปหลายล้านดอลล่าร์ แต่หลังจากนั้นก็พบแม่อุ้มบุญเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้ไม่มีการเปิดเผยชื่อ แต่ผู้หญิงคนนี้ให้ลูกคนที่ 3 แก่ไมเคิล เป็นผู้ชาย มีชื่อว่า ปริ๊นซ์ ไมเคิล ที่ 2 เมื่อปี 2545 เขามีชื่อเล่นว่า แบล็งเค็ต ซึ่งแจ็คสันอธิบายว่า มันหมายถึง"สิ่งที่ใช้ปกป้องคนที่เรารักและเอาใจใส่ " ..ผ้าห่มคุ้มภัยนั่นเอง
มาร์ติน บาร์เชียร์ ที่เคยไปทำสารคดีสัมภาษณ์ไมเคิล นานถึง 8 เดือน เรื่อง " ลีฟวิ่ง วิท ไมเคิล แจ็คสัน "กล่าวว่า ไมเคิลปกป้องลูกมากเกินไป พ่อแม่ของเขาได้ไปที่คฤหาสน์เนเวอร์แลนด์ เพื่อดูความเป็นอยู่ของลูกชายและหลาน ๆ ซึ่งพบว่า ปริ๊นซ์ไมเคิลกับปารีส เป็นเด็กฉลาด มั่นใจ และจิตใจดี ส่วนคนเล็กก็ดูพอใจในสิ่งที่เขาเป็น พวกเขาสวดอ้อนวอนก่อนรับประทานอาหาร สุภาพ ช่างติดและร่าเริง
ไมเคิลจะไม่ชอบใจเวลาลูกๆสบถ ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกที่รายล้อมรอบตัวเด็กๆล้วนเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับลูก หรือตีก้น ถ้าใครอาละวาด ก็จะถูกส่งเข้ามุมไปสงบสติอารมณ์ ไมเคิลอธิบายว่า เขาเอาของเล่นของลูกและของขวัญที่ได้รับจากแฟนเพลงทั่วโลก ที่ได้มาเป็นของขวัญคริสต์มาส ไปให้กับเด็กกำพร้าทั่วโลก
เขาสอนลูกไม่ให้ ให้ความสำคัญกับของเล่นมากกว่าเพื่อน เขาสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน เพราะคิดย้อนไปถึงสมัยเด็กที่เขามีชื่อเสียงและร่ำรวยแล้ว เวลาเขาเล่นกับเพื่อน เพื่อนจะยอมให้เขาชนะ แต่ไม่ยอมให้เขามาเล่นด้วยอีก
ยังมีเรื่องแปลกอีกหลายเรื่อง เช่น ไมเคิลไม่ชอบให้ลูกอยู่หน้ากระจกนานเกินไป และครั้งหนึ่งไมเคิลพาลูกคนโตไปสตูดิโอด้วย แล้วเขาทำป๊อปคอร์น หกกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้น โปรดิวเซอร์ซึ่งเกรงใจ ซูเปอร์สตาร์ กำลังจะก้มลงเก็บ แต่ไมเคิลได้เข้าไปขวางไว้
ไมเคิลได้กล่าวขอโทษและบอกว่า ลูกชายของเขาทำหก เขาจะเก็บเอง ซึ่งโปรดิวเซอร์ กล่าวว่า เขาได้แต่มองแจ็คสันคุกเข่าเก็บป๊อปคอร์นของลูกชาย เขาไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นมาดอนน่า เธอจะทำแบบนี้หรือไม่ ...อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกว่าไมเคิลน่ารักจัง
แคทเธอรีน แม่ของแจ็คสัน บอกว่า แม้จะมีชีวิตที่สุขสบายกว่าในอดีต ในฐานะเป็นแม่ซูเปอร์สตาร์ มีเสื้อโค้ทขนมิงค์ มีเพชรพลอย แต่เธอก็ต้องทุกข์ใจกับปัญหาที่รุมเร้าลูกชาย เธอเล่าด้วยว่าเธอเองเป็นโปลิโอตอนอายุได้ 18 เดือน และต้องสวมอุปกรณ์ช่วยจนเข้าสู่วัยรุ่น เธอพบกับสามีคือ โจ ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีที่เหมือนกันคือ ต่างก็เป็นนักดนตรี แต่เชื่อว่าไมเคิลสืบทอดพรสวรรค์จากแม่ และมีข่าวว่าเธอต้องอดทนกับการนอกใจของสามี
ขณะที่เรื่องอื้อฉาวการล่วงละเมิดทางเพศที่ไมเคิลเผชิญทำให้โรคความดันของเธอกำเริบ แต่สิ่งที่ให้เธอน้อยใจก็คือไมเคิลกลับเอาปัญหาต่าง ๆ ของเขาไปปรึกษาเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ ที่เขารักเหมือนแม่ แคทเธอรีนกล่าวว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอคือการย้อนกลับไปสมัยอยู่ที่แกรี่ ตอนที่ลูก ๆ ของเธอยังนอนร่วมห้องเดียวกัน เธอยอมละทิ้งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ เพียงให้ได้ย้อนไปสู่วันเก่า ๆ ที่ครอบครัวยังใช้ชีวิตกันตามปกติ ...แต่เวลาและวารีไม่เคยรอใครและไม่เคยหวน