Advertisement
การคิดนอกกรอบ
การคิดนอกกรอบที่น่าสนใจก็มีอยู่หลายเรื่อง อาทิเช่น การเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาใหม่ เทคนิคการกระโดดสูง การประกวดแคมเปญของยาสีฟันเพื่อเพิ่มยอดขาย การแก้ไขปัญหาพื้นที่สำนักงานไม่เพียงพอกับจำนวนพนักงานของ บริษัทปูนซีเมนต์ไทย
มาไล่เรื่องกันดูนะครับ
ขอยกเรื่อง "การเปลี่ยนมุมมองปัญหาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาใหม่" เอาไว้ท้ายสุดนะครับ
มาเริ่มจากเรื่อง "เทคนิคการกระโดดสูง" กันก่อน
สมัยตะก่อนโน้น จะโดดสูงข้ามเส้นบอกระดับความสูงกันแบบคว่ำหน้า ลองนึกภาพตามไปนะครับ ไม่ว่าหญิงหรือชายจะมีอุปสรรคต่อการกระโดดสูง นั่นคือ หญิงจะมีอุปสรรคที่ท่อนบน ส่วนชายจะมีส่วนเกินท่อนล่าง(กลางตัว) เอ่อ.. อวัยวะอันที่ท่านคิดนั่นแหละ เป็นอุปสรรคต่อการกระโดดสูง
วิธีคิดนอกกรอบเดิมๆ ก็คือ เปลี่ยนเป็นท่า "หงายหลังกระโดดสูง" ซึ่งก็ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1968 นักกีฬากระโดดสูงข้ามบาร์ทุกคนกระโดดด้วยวิธีที่เรียกว่า Western Roll โดยวิ่งๆหันหน้าหาบาร์แล้วกระโดดข้าม ณ ตำแหน่งสูงสุดร่างของนักกีฬาจะขนานกับบาร์
มีนักกรีฑาคนหนึ่ง อาจด้วยความรู้ในศาสตร์การกรีฑาอันน้อยนิดของเขา เขากระโดดด้วยวิธีการหันหลังให้กับบาร์ และทำสถิติโลกในขณะนั้นด้วยความสูง 7 ฟุตกับอีก 4 นิ้วครึ่ง ชายคนนี้ชื่อ Dick Fosbury และวิธีการกระโดดนี้กลายเป็นที่รู้จักกันในนามว่า Fosbury flop และยังใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้
Reference and Thanks : http://surat95.exteen.com/20070205/entry | http://en.wikipedia.org/wiki/Dick_Fosbury | http://en.wikipedia.org/wiki/Fosbury_Flop
เรื่องที่สอง "การประกวดแคมเปญของยาสีฟันเพื่อเพิ่มยอดขาย" มีบริษัทยาสีฟันแห่งหนึ่ง ให้พนักงานคิดแคมเปญเข้าประกวดชิงรางวัลที่สามารถนำไปกระตุ้นยอดขายได้ และแคมเปญที่ส่งเข้ามานั้นมีทุกรูปแบบ ตั้งแต่ออกแบบหลอดยาสีฟันให้สวยงาม ลดราคา แจกถ้วนจานช้อน แจกแปรงสีฟัน โหมโฆษณา สร้างเว็บ ฯลฯ
แคมเปญที่ยกตัวอย่างในข้างต้น ผมโม้เอง เพราะว่าไม่เคยเห็นเอกสารประกอบ เดาว่าน่าจะมีแคมเปญแบบทั่วๆ ไปแบบนี้แหละ
เมื่อประกาศผลการประกวดแคมเปญยอดเยี่ยม เป็นแคมเปญเล็กๆ ที่คิดนอกกรอบ แค่ "ขยายรูของหลอดยาสีฟันให้ใหญ่ขึ้น" นอกนั้นคงเดิม เมื่อรูใหญ่ยาสีฟันก็ออกเยอะ ก็จะขายได้เยอะขึ้น แถมยังต้นทุนต่ำแต่กำไรสูงโดนใจคณะกรรมการตัดสินเป็นอย่างยิ่ง
หมายเหตุ : ไม่สามารถค้นได้ว่า บริษัทยาสีฟันไหนที่จัดให้มีการประกวดแคมเปญของพนักงานแบบนี้ครับ ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดทราบก็ช่วยกระซิบบอกกันด้วยนะครับ
เรื่องที่สาม "การแก้ไขปัญหาพื้นที่สำนักงานไม่เพียงพอกับจำนวนพนักงาน" สมัยหนึ่งเมื่อนานมาแล้วปูนใหญ่มีปัญหาสถานที่คับแคบ เนื่องจากพนักงานเยอะ เลยร้องขอผู้บริหารให้สร้างตึกใหม่ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอีกมาก
ผู้บริหารจึงให้แนวคิด (และนำไปปฎิบัติจริง) ว่า ควรคิดนอกกรอบเดิมที่เคยคิดกันมา ปัญหาสถานที่แออัด แค่เพียง "ลดขนาดโต๊ะทำงาน" ก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างตึกใหม่
หมายเหตุ : ผู้บริหาร บริษัทปูนซีเมนต์ ที่กล่าวถึงนี้คือ ท่าน ชุมพล ณ ลำเลียง
เรื่องสุดท้าย "การคิดนอกกรอบ เพื่อเปลี่ยนวิธีมองปัญหาใหม่"
ปัญหาที่หนักอกหนักใจของหลายๆ คน นั้นมีสาระพัด หลายรูปแบบ แก้ได้เองมั่ง แก้ไม่ได้มั่ง และปกติเราจะใช้แนวทางแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ แบบสูตรสำเร็จที่บอกต่อกันมาหรือจากประสบการณ์
แต่การคิดแบบนอกกรอบนั้น ให้เปลี่ยนแนวความคิดซะใหม่ โดยให้คิดว่าปัญหานั้นเป็นเหมือน "วัตถุ" ให้ลองยืนมองหลายๆ ด้าน จะด้านซ้ายขวาหน้าหลังหรือบนล่าง ก็ตามสะดวก
ลองย้ายไปดูด้วยมุมมองของคนอื่นบ้างสิ
การมองปัญหาด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป จะทำให้เกิดความคิดใหม่ ทำให้มีทางเลือกใหม่ในการแก้ไขปัญหา ปัญหาที่ตัวเองมองว่ามันหนักซะจนโลกจะแตกตาย เช่น อกหัก เกรดน้อย สอบไม่ติด โดนไล่ออกจากงานประจำ พบว่าเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย ฯลฯ ที่เรารู้สึกว่ามันหนักจะเป็นจะตายเสียให้ได้ ก็เพราะว่า เรามองด้วยมุมมองของเรา
มาดูปัญหายอดฮิตในบ้านเมืองเราตอนนี้ ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญในปีนี้ (2552) กำลังถึงจุดที่เรียกว่า "วิกฤต" ผู้คนจะรู้สึกกันว่าได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า หากคิดกันแบบเดิม รอให้รัฐบาลมาช่วยแก้ไขปัญหา หรือรอให้ปัญหามันคลี่คลายเมื่อถึงเวลา
แล้วก็มานั่งกลุ้มปวดหัวว่าตอนนี้ "ปัญหาที่กูเจอมันหนักเหลือเกิน"
คิดวนเวียนกันอยู่แบบนี้ด้วยความทุกข์ระทม เศร้าหมองหม่น บรรยากาศอึมครึม เครียดกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง
แล้วทำไมถึงไม่มองปัญหานี้ในมุมอื่นบ้าง? ทำไมไม่เปลี่ยนมุมไปเป็นคนอื่น แล้วมองย้อนกลับมาดูตัวเราเอง?
ยกตัวอย่างเช่น
มองด้วยมุมมองของ "ขอทานอินเดีย" ผมเคยอ่านหนังสือเล่มไหนก็ไม่รู้จำไม่ได้ เค้าบอกว่า มีขอทานใน ประเทศอินเดีย เยอะมาก มียุบยับไปหมด มีรายได้เฉลี่ยอยู่แค่วันละ 10-20 บาทไทยเท่านั้น (ถ้าผมจำมาถูกนะ)
ถ้าหากเป็นเราคงตายด้วยความหิวโซไปตั้งแต่เดือนแรกแล้วมั๊ง? เผลอๆ จะอยู่ได้แค่อาทิตย์เดียวซะด้วยซ้ำ
ตานี้หากเราอยู่ในฐานะ "ขอทานอินเดีย" มองย้อนกลับมาดูตัวเราในวันนี้
อ่าว... สุขสบายถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีความทุกข์อีกเรอะ? อีนี่ฉานเดินขอเงินทั้งวัน เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด อีนี่ฉานได้แค่ยี่สิบบั๊ดเอง อีนี่ฉานไม่เคยซื้อเสื้อผ้ามาสองสามปีแล้วต้องใส่กลางวันกลางคืนถอดซัก อีนี่ฉานมีลูกแต่ไม่ได้เรียนหนังสือหรอกเพราะไม่มีเงินส่งเรียน อีนี่ฉานไม่มีเงินไม่มีบ้านไม่มีรถ ไม่มีอนาคต
แต่... อีนี่ฉานยังดีกว่าชาว เอธิโอเปีย นะ ที่นั่น น้ำยังไม่มีจะกินเลย!!
วันที่ 3 ก.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,149 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,150 ครั้ง เปิดอ่าน 7,153 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,154 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,267 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,148 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,148 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 12,681 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,693 ครั้ง |
เปิดอ่าน 17,626 ครั้ง |
เปิดอ่าน 26,010 ครั้ง |
เปิดอ่าน 8,894 ครั้ง |
|
|