มาตรการห้ามขาย น้ำเมา ในวันพระใหญ่ "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" สู่คำประสมในภาษาไทย ๕ ลักษณะ
น้ำเมากับวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
เมื่อวันที่ ๑๘ มิ.ย. ที่รัฐสภา เครือข่ายพระนักพัฒนา ๑๔ องค์กรร่วมกับ เครือข่ายเฝ้าระวังแอลกอฮอล์กรุงเทพ ได้ยื่นหนังสือถึงนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เพื่อทวงถาม ความคืบหน้า มาตรการห้ามขาย น้ำเมา ในวันพระใหญ่ คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา นอกจากนั้นยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลสนใจปัญหาสังคม และขอให้นายกรัฐมนตรี ลงนามห้ามจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้เริ่มต้นบังคับใช้ตั้งแต่ในวันที่ ๗ ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา รวมทั้งรัฐบาลควรเร่งรณรงค์ให้สังคมเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมใน "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" ทั้งนี้พระประทุม ปาวโร ผู้ประสานงาน เครือข่ายพระสงฆ์ 14 องค์กร กล่าวว่า ในเดือน ก.ค.นี้ จะมีวันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ถึง ๒ วัน คือ วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่าย จะได้ทบทวน และเชิญชวน มาสร้างบุญ สร้างกุศล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ควรรีบตัดสินใจในเรื่องนี้ (ข่าวจาก: http://www.ryt9.com/s/psum/594774/)
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมาย น้ำเมา น. นํ้าที่ดื่มแล้วทําให้มึนเมา ได้แก่สุราและเมรัยเป็นต้น.
คำที่ขึ้นต้น คำว่า "น้ำ" เช่น น้ำเค็ม น้ำโคลน น้ำเงิน น้ำจัณฑ์ น้ำจิ้ม น้ำจืด น้ำใจ น้ำซาวข้าว น้ำซีอิ้วน้ำดิบ น้ำเดือด น้ำตก น้ำตะไคร้ น้ำตับ น้ำตา น้ำตาล น้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลกรวด น้ำตาลงบ น้ำตาลปึก น้ำตาลเมา น้ำตาลหม้อ น้ำตาลสด น้ำตาลงุ่น น้ำเต้า น้ำท่า น้ำทิพย์ น้ำท่วม น้ำทะเล น้ำนม น้ำนวล น้ำบาดาล น้ำบ่อ น้ำประสาน น้ำประปา น้ำปลา น้ำปัสสาวะ น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำผึ้งพระจันทร์ น้ำฝน น้ำพระพิพัฒน์สัตยา น้ำพริก น้ำพักน้ำแรง น้ำพุ น้ำมนต์ น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว น้ำมัน น้ำมันกานพลู น้ำมันก๊าด น้ำมันเกียร์ น้ำมันขี้โล้ น้ำมันเขียว น้ำมันงา น้ำมันจันทน์ น้ำมันชักเงา น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันดิบ น้ำมันดิน น้ำมันตะไคร้ น้ำมันตั้งอิ้ว น้ำมันตับปลา น้ำมันเตา น้ำมันตานี น้ำมันถั่ว น้ำมันบัว น้ำมันเบ็นซิน น้ำมันเนย น้ำมันพืช น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันยาง น้ำมันระกำ น้ำมันรำ น้ำมันแร่ น้ำมันละหุ่ง น้ำมันสน น้ำมันสลัด น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันหมู น้ำมันหยอดเครื่อง น้ำมันหล่อลื่น น้ำมือ น้ำมูก น้ำย่อย น้ำยา น้ำแร่ น้ำลาย น้ำลายไหล น้ำลายเป็นฟอง น้ำขึ้นน้ำลง น้ำวน น้ำส้ม น้ำส้มสายชู น้ำเสียง น้ำใสใจจริง น้ำหนวก น้ำหนัก น้ำหน้า น้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งอันเดียวกัน น้ำไหลไฟดับ น้ำหมาก น้ำหวาน น้ำหอม น้ำเหลือง น้ำอบ น้ำอดน้ำทน น้ำอ้อย น้ำอัดลม น้ำกรด น้ำกระด้าง น้ำกระสาย น้ำกร่อย น้ำกลั่น น้ำกะทิ น้ำแกง น้ำขาว น้ำข้าว น้ำขิง น้ำแข็ง น้ำคลอง น้ำค้าง น้ำคาวปลา น้ำคร่ำ น้ำคำ
เนื้อหานี้เหมาะสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ ๒ - ช่วงชั้นที่ ๔
คำประสมคือ คำมูล หรือคำโดด คำดั้งเดิมในภาษานำมาประสมกันเป็นคำใหม่มีความหมายพิเศษออกไปอีก
คำประสมในภาษาไทยอาจแบ่งได้ ๕ ลักษณะ
(๑) เอาคำมูลตั้งแต่สองคำมาประสมกัน
ไฟ -ฟ้า เป็น ไฟฟ้า
ลูก-เสือ เป็น ลูกเสือ (เด็กชายที่ทำหน้าที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น)
แม่-น้ำ เป็น แม่น้ำ (ลำน้ำสายใหญ่)
แม่-ทัพ เป็น แม่ทัพ (ผู้มีหน้าที่บังคับบัญชา กองทัพทำการรบ)
หาง-เสือ เป็น หางเสือ (เครื่องบังคับคัดเรือให้แล่นไปในทิศทางที่ต้องการได้)
น้ำ-ขาว เป็น น้ำขาว (น้ำเมาชนิดหนึ่งสีขุ่นขาว ดื่มแล้วเมาเหมือนสุรา)
ตา-ขาว เป็น (ขี้ขลาด)
(๒) คำประสมที่เกิดจากคำมูลสองคำ คำแรกได้แก่ นัก ชาว หมอ ชั่ง ความ เครื่อง แม่ ฯลฯ และคำนั้นเป็นคำที่มี ความหมายพิเศษเฉพาะ
นัก : นักเรียน นักปราชญ์ นักเลง นักกฎหมาย นักมวย นักศึกษา ฯลฯ
ชาว : ชาวนา ชาววัง ชาวไร่ ชาวป่า ชาวเขา ชาวที่ ชาวเมืองฯลฯ
ช่าง : ช่างไม่ ช่างเรือ ช่างเหล็ก ช่างทอง ช่างปูน ช่างไฟฟ้า ช่างเสื้อ ฯลฯ
หมอ : หมอควาย หมอฟัน หมอเสน่ห์ หมอผีฯลฯ
ความ : ความดี ความรัก ความงาม ความหมาย ความรู้ ความตายฯลฯ
เครื่อง : เครื่องยนต์ เครื่องบิน เครื่องจักร เครื่องแกง เครื่องปรุง เครื่องขยายเสียง ฯลฯ
แม่ : แม่น้ำ แม่ทัพ แม่งาน แม่เสียง แม่ย่านาง แม่เรือนฯลฯ
(๓) คำประสมที่เกิดจากคำสองคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน อาจจะเป็นคำนามหรือคำกิริยาก็ได้ รวมกันแล้วเกิดความหมายพิเศษ เช่น ดูแล ตรวจตรา สั่งสอน บ้านเมือง ตรวจสอบ หอบหิ้ว เก่าแก่ กีดกัน ทรัพย์สิน ชมเชย พักผ่อน พลัดพราก ขบคิด เปิดเผย ควบคุม คลี่คลาย ก่อกู้ ทิ้งขว้าง ฯลฯ
(๔) คำประสมจำพวกที่เป็นคำสมาสในภาษาสันสกฤต เช่น อักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม โจรกรรม มิตรภาพ พิพิธภัณฑ์ เทพบุตร อุปถัมภ์ อนุชน อติรูปอภิธรรมสุคนธ์ เอกชนมหาบุรุษ ปรภพ ทันตแพทย์ โลกธาตุ ทศทิศ ทศทิศราชธรรมฯลฯ
(๕)คำจากบาลีสันสกฤษตที่ไทยเรานำมาใช้มีพระนำหน้า เช่น พระหัตถ์ พระกร พระกรรณ พระพักตร์ พระเนตร พระอุระ พระชิวหา พระดัชนี พระตจะ พระทนต์ พระนลาฏ พระเกศา พระโลมา พระราชสถาน พระภูมิ
ประเด็นคำถามสู่การอภิปราย
๑. อธิบายลักษณะคำประสมในภาษาไทย ทั้ง ๕ ลักษณะ ว่าเป็นอย่างไร
๒. นำคำประสมให้มากที่สุดมาแต่งเรื่อง
๓. รวบรวมคำประสมที่ขึ้นต้นคำหลักแล้วแยกหมวดหมู่
๔. ถอดคำประพันธ์ที่กำหนดเป็นร้อยแก้ว
ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
(ที่มาจากภาพ : www.cpsk.ac.th )
การบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ
ภาษาอังกฤษ : หาคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ตรงกับคำประสม เช่น n. intoxicating drinks = น้ำเมา
สังคมศึกษา : ค้นคว้าวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ควรปฏิบัติอย่างไรในวันนี้
ศิลปะ : กำหนดคำประสมแล้ววาดภาพให้เป็นเรื่องราวของคำประสม
สุขศึกษา : บอกโทษของน้ำเมา
อ้างอิงแหล่งที่มา
http://www.ryt9.com/s/psum/594774/
http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%B9%E9%D3%E0%C1%D2&select=1#s12
เรื่อง: ส่วนผสมของเหล้ามีอะไรมั่งมาดูกัน.....(.ของแถม) |
|
|
|
ส่วนผสมของเหล้ามีอะไรมั่งมาดูกัน (พระพิศาลธรรมพาที)
...วันหนึ่งไอ้ขี้เมามันเดินเข้ามาหาพระในวัด... มันบอกว่าหลวงพี่ชอบด่าคนกินเหล้า... ว่าโง่ยิ่งกว่าหมา... อยากจะทดสอบหลวงพี่หน่อย... ที่หลวงพี่บอกว่าเหล้าไม่ดีนะ...หลวงพี่รู้หรือ เปล่าว่า... เหล้านะมีส่วนผสมอะไรบ้าง..?
หลวงพ่อก็ตอบไปว่า..เรื่องง่ายๆ... ทำไมพระจะไม่รู้ คนโบราณเขาเล่าว่า...
เหล้ามันผสมด้วยเลือดสัตว์ 5 ชนิด... คือ...
1. เลือดเสือ... กินเข้าไปแล้วดุมาก...มึงช่วยหามกูไปตีกับมันหน่อย...
2. เลือดงู....กินแล้วเดินไม่ตรงทาง...คดไปคดมา...
3. เลือดนก......กินแล้วคุยทั้งวันทั้งคืน...ไม่รู้เอาเรื่องอะไรมาพูด...
4. เลือดหมู..... กินแล้วนอนตรงไหนก็นอนได้..หมาเลียปากก็ไม่รู้สึก...
5. เลือดหมา....กินแล้วเห่าตะพึด...กระทั้งลูกเมียตัวเองมันก็จะกัด...
พูดเสร็จอาตมาก็รีบเดินเข้ากุฏิ...เพราะพระไม่มีประกันชีวิต..
|
ขอบคุณที่มาของบทความค่ะ
Asarnha Puja Day is the third most important Buddhist holiday. It is the day that the Buddha gave the first sermon to his first five disciples. After Asarnha Puja Day is another important day. Thai people believe that it is the first day of the monsoon season. We know it as "Khao Phansa" or "Buddhist Lent" in English. The word "Phansa" means three months so "Khao Phansa" means to stay indoors for three months. During this three month period, the monks are not allowed to go to stay overnight elsewhere.
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญอันดับสามทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรก โปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 หลังจากวันอาสาฬหบูชาก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง คนไทยเชื่อว่าเป็นวันเเรกของฤดูลมมรสุม . พวกเรารู้กันว่าเป็นวัน “เข้าพรรษา” เป็นวันที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา หรือในภาษาอังกฤษ "Buddhist Lent" เเปลว่าจำศีลในวัดเป็นเวลาสามเดือน ในระยะเวลาสามเดือนพระสงฆ์ต้องอยู่ในวัด ไม่อนุญาตให้ไปค้างคืนอยู่ที่อื่น
At my old school, they celebrate Asarnha Puja every year by taking some students to the temple. I remember when I was in Primary 6, my friends and I were chosen by our teacher to go to the temple. They rented a couple of buses to take us there. We went to the bot or chapel to walk around it three times as soon as we arrived there. One of my friends complained all the time while we were walking. It really annoyed me.
....................................................................................................................................................................................
After we had finished walking around the chapel, we went inside to continue the ceremony. We made merit by giving the monks some money, food, toiletries and robes. We also gave them a two metre high candle which is big enough to stay alight for the whole three months of the Buddhist Lent. Then we came to sit down on the floor and listen to the monks chanting. Now the complainer was sleeping but, you know what, his mouth was still open!
หลังจากที่พวกเราเดินครบรอบแล้ว เราได้เข้าไปข้างในเพื่อทำพิธี เราทำบุญด้วยการถวายปัจจัย อาหาร เครื่องอัฐบริขาร พวกเราถวายเทียนสูง 2 เมตร ซึ่งใหญ่พอที่จุดพอถึงนาน 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา จากนั้นพวกเรามานั่งบนพื้นเพื่อฟังพระสวด ตอนนี้คนที่บ่นกำลังหลับ แต่คุณรู้ไหมว่าอะไร ปากของเขายังอ้าอยู่เลย
We sat there and listened to the monks for nearly half an hour. After that, the head monk gave a short sermon to us and then he stood up and left. We stood up and stretched our legs then lined up to walk back to the bus. While I was walking out from the chapel, I saw my friend, the one who was sleeping, standing on one leg in the sun. Everyone was
laughing at him, I was curious about how he was chosen to come. He didn’t have to come if he didn’t want to make some merit, he could have refused.
In the evening, I went to my grandmum’s house with my family to do wien tien with her. This is another way to make merit by walking around the chapel three times. We do it every Buddhist holiday. After we had finished, we went back to my grandmum’s house. Then we sat down and talked. I heard my mum tell my dad that he must keep the five precepts during Khao Phansa. He replied that he will try his best to do it. Then, my mum turned her face to me and said "don’t be too happy, you’ve got to do it too". I replied to her that for sure I can keep the five precepts for longer than two days.
ในตอนเย็น ฉันไปเยี่ยมย่ากับครอบครัวของฉันเพื่อที่จะไปเวียนเทียนกับยาย นี่เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำบุญโดยการเดินรอบๆโบสถ์ 3 ครั้ง พวกเราทำอย่างนี้ทุกๆวันหยุดทางศาสนา หลังจากเสร็จเรียนร้อย พวกเราก็กลับไปที่บ้านยาย จากนั้นพวกเราก็นั่งลงเเละพูดคุยกัน ฉันได้ยินแม่ของฉันบอกกับพ่อว่า เขาควรจะต้องรักษาศีลห้าในวันเข้าพรรษา พ่อตอบกับแม่ว่าพ่อจะทำให้ดีที่สุด เเละเเม่ของฉันก็หันมาพูดกับฉันว่าอย่าทำเป็นสนุกสนานไปเลยเพราะเธอก็ต้องทำด้วย ฉันตอบแม่ว่าเเน่นอนฉันจะรักษาศีล 5 ให้ได้นานกว่า 2 อาทิตย์
It has always been like this on every Buddhist holiday for as long as I can remember. We always go to visit my grandmum and make merit with her. My mum said that the reason she goes to the temple on Buddhist holidays is because it is a family thing. It is something she has done with her parents. Now, it is a tradition with us. ........................................................................................................................................................................................................
But, this year I didn’t go. It has been a long while now that I haven’t gone to the temple with my family. Now, I am very busy with working and my social life with my friends so I don’t really have much spare time.
......................................................................................................................................................
From now on, I will do my best to organise my life so I’ll have some more spare time to spend with my family. Also, in the future when I grow up and have kids, I will spend as much time as I can with them. I will teach my kids about the tradition of going to the temple to make merit. I will do my best to teach them to be good. To be better than me.
.............................................................................................................................................................
:
From Gor Story ...........................................................................Thanks for all ครูติ๋ว