ในช่วงที่ผ่านมา ตลอดปีใหม่ ตรุษจีน ผมไม่รู้เลยว่าเขามีอะไรกันที่ไหน สนุกอย่างไร รู้แค่ว่าทุกวัน เราเป็นคนสำคัญ สำหรับคนรอบตัว ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน และญาติพี่น้อง มีความภูมิใจในตนเองที่ได้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะผมใช้หลักคิดที่ว่าเหนื่อยจากการช่วยผู้อื่นยังไม่ได้เศษเสี้ยวจากความ เหนื่อยที่ต้องไปขอให้ผู้อื่นช่วย ผมจึงพยายามช่วยเหลือคนรอบข้างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พอเข้าอาทิตย์ที่สี่ของการทำงานอย่างหนัก บางวันรู้สึกว่าตนเองนอตหลุด คือ ทนทำงานหนักต่อไปไม่ได้แล้ว อ่อนเพลียมาก นั่งอยู่บนเก้าอี้ดูโทรทัศน์ หลับไป โดยไม่รู้ตัว กันชนรถยนต์ทั้งซ้ายขวาและด้าน หน้ามีรอยเฉี่ยวชนกับบางสิ่งโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนขับรถช้าและ ระวังตัวตลอดเวลา ซึ่งแสดงถึงสภาวะ ที่ร่างกายอ่อนแอและไม่ไหวแล้ว
ปกติผมเป็นคนอดทนมาก ต้องเรียกว่าทนสุดๆ ไม่ใช่คุยนะครับ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ผมทนกว่า คนอื่นประมาณสามเท่า อาการนอตหลุดเป็นแบบนี้เอง ผมเริ่มทราบ และต้องหาทางขันนอตตนเอง ให้เข้าที่ เพราะผมต้องเป็นหลักของบ้าน ผมจะทำอย่างไรดี
ผมตัดสินใจว่าวันศุกร์ต้องไปว่ายน้ำกับลูกสาวให้ได้ พอไปส่งภรรยาเพื่อไป ดูแลเตี่ยของเขาที่ป่วยหนักแล้วจึงขอตัว พาลูกกลับบ้าน หลังกินอาหารกลางวัน ผมพาลูกไปว่ายน้ำและชวนเพื่อนลูกสาว ซึ่งเขาเรียกผมว่าเตี่ยไปว่ายน้ำด้วยกัน ตอนบ่ายโมงจนถึงบ่ายสามโมง หลังจากว่ายน้ำสักพักรู้สึกว่าตัวเอง มีพลังขึ้นมาก จึงขับรถมาดูเตี่ยที่ไม่สบาย หนัก แล้วกลับที่พักเพื่อเตรียมการบรรยายในวันจันทร์
เช้าวันจันทร์มีกิจกรรมมากมาย เริ่มจากบรรยาย ประชุมกับอธิบดี ไปดูเตี่ย กลับมาที่ทำงาน ช่วงเย็นตั้งใจว่าจะต้องวิ่งในกระทรวง สาธารณสุขให้ได้ จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ออกวิ่ง วิ่งได้เกือบรอบใหญ่ ก็ได้รับ โทรศัพท์จากพี่ชายโทร.แจ้งอาการของเตี่ย ว่าไม่ค่อยดี ผมจึงกลับไปที่ทำงาน อาบน้ำ แล้วไปสถาบันประสาทวิทยาเพื่อดูเตี่ย กลับมาถึงที่พักสองทุ่มครึ่ง แต่ก็ยังดีที่ได้ วิ่ง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองมีพลังมากขึ้น
ผมเปิดโทรทัศน์ดูไปเรื่อยๆ เพื่อ ฟังข่าวบ้าง ดูภาพยนตร์บ้าง เปิดมาพบ พระนักพูดท่านหนึ่ง ท่านสอนว่า “ยุ่งยากเพราะความคิด งานสัมฤทธ์ เพราะลงมือทำ” ผมรีบจด “ยากเพราะคิด สัมฤทธิ์ เพราะทำ” ดูสั้นดีและจำง่าย ผมจึงตั้งใจวิ่ง และจะวิ่งต่อไปอีก โดยวันนี้จะต้องวิ่งอีก ทั้งๆ ที่มีงานตอนเย็นประมาณหนึ่งทุ่ม เพราะฉะนั้นมีเวลาวิ่งช่วงเย็นประมาณ หนึ่งชั่วโมง แค่นั้นก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว ตั้งใจจะวิ่งติดต่อกันสัก 3 - 4 วัน และ อาทิตย์หน้าจะว่ายน้ำ และอาทิตย์ต่อไป จะไปสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นมากๆ
คนทั่วๆ ไปมักจะบอกว่า “ไม่มีเวลา เลยจริงๆ” เรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน ถ้าจัดเวลาให้ดี ใครๆ ก็ทำได้ หลายคนมัวแต่ห่วงคนอื่นโดย ไม่ห่วงตัวเอง ถ้าเราล้มอีกคน คนอื่น จะทำอย่างไร ถ้าเราป่วยหรือเราตายไป คนอื่นจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้น อย่าห่วงคนอื่นมาก จนเกินไปจนลืมห่วงตนเอง
แต่ฟังผมพูดแล้ว อย่าเพิ่งแปลไปในทางหาเรื่องว่าไม่ต้องสนใจคนอื่น มิได้ต้องการให้แปลความแบบนั้น แต่ต้องการให้คิดว่า ถ้าเราดูแลตัวเอง เราจะแข็งแรง อารมณ์ดี มีความสุข สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้นไปอีก เป็นการเพิ่มการทำกุศลกรรมให้เราได้มากขึ้น ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ดีกว่าอยู่ในนรกของความทุกข์ ความเหนื่อยยาก และอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ต่อตัวเราเองและผู้อื่น เช่น ถ้าหมอเหนื่อยมากๆ อาจดูแลผู้ป่วยผิดพลาดก็ได้ ดังนั้น หมอต้องจัดเวลาให้พอดี เพื่อตนเองจะได้เป็นหมอรักษาคนไข้ไปนานๆ และช่วยผู้อื่นได้มากขึ้น หมอมักจะอายุสั้นกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการทำงานอย่างหนัก ไม่มีเวลาดูแลตนเอง
ผมโชคดีมากเลยที่กลางปีที่ผ่านมา ได้จัดการแก้ไขปัญหาสุขภาพตนเองไป ก่อน คือ
1.ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีโดยใช้กล้อง ส่องไปเรียบร้อยแล้ว
2.ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเรียบร้อย แล้ว เพราะตามัวมองอะไรไม่ชัดเจน
ไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง นอกจากนี้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่อดนอน ไม่เครียดจนเกินไป พอพบ ปัญหาหนักๆ เลยทนได้มากขึ้น
บรรยายเสียยืดยาวเพียงต้องการ บอกว่า…
1.ถ้ารู้สึกว่างานหนักมาก เหนื่อย แสดงว่าร่างกายเราอ่อนแอลง
2.วิธีจัดการคือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ขึ้นโดยการออกกำลังกาย จะเห็นผล ทันตา
3.รู้แล้วไม่ได้ทำ ก็ไม่ต่างจากการ ไม่รู้และไม่ได้ทำ เหมือนที่พระท่านสอน “ยากเพราะคิด สัมฤทธ์เพราะทำ” ดังนั้น ต้องลงมือทำ
4.การดูแลตนเอง คือการเพิ่ม ประสิทธิภาพให้เราไปดูแลผู้อื่นได้มากขึ้น
…เหนื่อยจากการช่วยผู้อื่น ยังมิได้ เศษเสี้ยวจากการเหนื่อยที่ต้องไปขอให้คนอื่นช่วย ผมไม่เหนื่อยแล้วครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก