ขี้เหล็ก......
ต้นไม้.....คลายเครียด..
ขี้เหล็กนับว่าเป็นสมุนไพรของคนไทยแท้ๆ เพราะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cassia siamea Britt. แต่ก็ยังสามารถพบได้ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิก ตั้งแต่อินโดนีเซียไปจนถึงศรีลังกา ขี้เหล็กเป็นไม้ดอกสวย นิยมปลูกเป็นไม้ให้ร่มตามริมถนน ต่างประเทศเคยมีการสั่งซื้อพันธุ์ขี้เหล็กไทย เพื่อนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ
ในวิถีของชุมชนชนบทแก่นขี้เหล็กยังเข้ายามากมายหลายชนิด หนักทางเป็นยาบำรุงสุขภาพ จนทางอีสานมีคำคล้องจองให้ท่องจำคำว่า "เหล็กแดงแทงหาด" ขยายความคือแก่นขี้เหล็ก แก่นแดง แก่นหนามแท่ง แก่นมะหาด ทั้งสี่แก่นนี้ควรกินเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง แก้ปวดเมื่อย
ขี้เหล็กจัดเป็นไม้โตเร็วต้นหนึ่ง ชาวบ้านที่ชาญฉลาดมักปลูกขี้เหล็กไว้ตามคันนา เอาไว้เก็บใบมาบ่มมะม่วงให้สุกอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องใช้แก๊สบ่มให้เสียรสชาติ และการปลูกขี้เหล็กให้โตสักปีสองปีก็ได้ฟืนมาใช้
จำได้ว่าที่บ้านข้างๆ เล้าไก่ แม่จะทำแคร่ยื่นออกไปเพื่อเอาไว้เก็บฟืน แม่บอกว่าทำแกงทั้งหลายโดยใช้ไฟฟืน แกงจะเข้าเนื้อ ทั้งยังหอมกลิ่นควันฟืน ฟืนที่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นไม้สะแกกับไม้ขี้เหล็ก แต่แม่จะชอบไม้ขี้เหล็กเป็นพิเศษ
เพราะว่าไม้ขี้เหล็กนอกจากเป็นฟืนที่ดีแล้ว ใบอ่อนของขี้เหล็ก ยังเอามาแกงกินได้อร่อย แกงกันทีก็เอาไปแจกกันกินทั้งหมู่บ้าน ก็ของเราไม่ต้องซื้อต้องหาเก็บเอามาจากหัวคันนาข้างบ้าน ฟืนก็ฟรี ใบขี้เหล็กก็ฟรี ก็เลยสามารถที่จะแบ่งปันกันได้
วิธีแกงใบขี้เหล็กนั้น ต้องต้มน้ำทิ้งก่อนสักสองสามน้ำเพื่อลดความขม แกงขี้เหล็กทำได้หลายแบบ จะแกงกะทิใส่เนื้อย่างก็แสนจะวิเศษ หรือจะแกงป่าใส่น้ำคั้นใบย่านางก็ให้รสชาติกลมกล่อมไปอีกแบบ
ขี้เหล็กยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย มีทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีสอง ไนอาซิน และถ้ามีดอกอ่อนมาแกงด้วยก็จะได้วิตามินเอ และวิตามินซี ในปริมาณสูงทีเดียว คนที่บ้านชอบกินแกงขี้เหล็กของแม่เปล่าๆ โดยไม่ได้กินเป็นกับข้าว ก็สามารถอิ่มได้ทั้งวันโดยไม่ค่อยอยากกินอย่างอื่น อาจเป็นเพราะว่าใบขี้เหล็กมีสารอาหารเกือบครบนั่นเอง
ความที่ชอบรับประทานแกงขี้เหล็กเป็นพิเศษคือกินได้เป็นชามๆ ก็เลยให้แม่แกงมาไว้เป็นถุงๆ นำมาใส่ในตู้เย็นไว้ สิ่งที่พบคือเมื่อเวลาเครียดๆ จากงานหรือต้องรีบปั่นต้นฉบับแบบนี้ หลังจากกินแกงขี้เหล็กชามโตๆ แล้ว จะรู้สึกสบายใจและปลอดโปร่งอย่างประหลาด จนคิดสงสัยว่าจะติดแกงขี้เหล็กเป็นยาเสพติดไปแล้ว ตอนหลังจึงมารู้ว่า ในใบอ่อนของขี้เหล็กมีสาร ชื่อว่าบาราคอล (Baracol) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติคลายเครียด
บาราคอลในขนาดสูงๆ จะเป็นยาช่วยให้นอนหลับ ถ้าในขนาดที่ไม่สูงมากมีฤทธิ์ช่วยสงบประสาท คลายเครียด โดยไม่ทำให้ง่วงเหมือนยาสงบประสาทของต่างประเทศ คือถ้าเราเครียดแล้วเราไปหาหมอแผนปัจจุบัน เราจะได้รับยาคลายเครียด ซึ่งยาคลายเครียด (Anxiolytic Drug) มีผลข้างเคียงคือ จะทำให้ง่วงนอน จนรบกวนสภาวะการทำงานปกติของเรา เกิดอาการง่วงสลึมสลือ ทำงานได้ไม่เต็มที่
แต่เจ้าบาราคอล สารคลายเครียดจากธรรมชาติเจ๋งกว่า คือทำให้หายเครียดโดยไม่ทำให้ง่วง ขณะนี้กำลังมีการศึกษาที่จะนำเจ้าบาราลคอลมาทำเป็นยาคลายเครียด แต่ก็มีผู้หัวใสนำใบขี้เหล็กบรรจุแคปซูลออกขาย โฆษณาเป็นยาคลายเครียด เป็นยานอนหลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้าดีมันได้ผลก็กินกันไป เพราะเป็นสมุนไพรของไทยๆ หากเอามาขายแพงเกินไป เราทำกินกันเองก็ได้ โดยจะไปซื้อใบขี้เหล็กในตลาดมาแกงกิน หรือจะเอามาบดเป็นผงทำลูกกลอน หรือเอามาตากแห้งไว้ชงน้ำกินต่างชา ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
โรคเครียดเป็นโรคที่เกิดจากใจของเรา การพึ่งยาหรืออะไรภายนอกล้วนแต่ ไม่ใช่ทางออกในระยะยาว การหันกลับมาสร้างความมั่นคงให้อารมณ์ โดยการฝึกจิตให้เห็นสิ่งต่างๆ ว่าเป็นไปตามสภาวะธรรม ตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ต้องไปทุกข์กังวลจนเกินเหตุ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงกว่าการใช้ยากล่อมประสาท
นายแพทย์ชื่อดังของอเมริกาท่านหนึ่ง มักนิยมเขียนในใบสั่งยาว่า ให้ฝึกสมาธิวันละสี่เวลา เช้า กลางวัน เย็นและก่อนนอนแทนการจ่ายยา หากจะใช้ยาคลายเครียด เราควรหันมาทดลองใช้ยาคลายเครียดจากธรรมชาติ ที่เราทำกับมือได้ โดยไม่ต้องไปรอให้เขาทำเป็นยาแผนปัจจุบันในรูปสารบริสุทธิ์ใส่แคปซูล เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะเสร็จสักที (เหมือนสารบริสุทธิ์จากสมุนไพรไทยอีกหลายๆ อย่างที่วิจัยกันไม่รู้จักเสร็จ) แล้วราคาก็แสนแพง
เราควรที่จะเริ่มพึ่งจิตภายในเมื่อเครียด จากนั้นค่อยพึ่งยา เริ่มด้วยยาจากธรรมชาติ เช่น ขี้เหล็ก ที่เราคุ้นเคยกันมานานว่าปลอดภัย ลองกินดูถึงไม่หายก็อิ่มท้องว่างั้นเถอะ....
|