ธรรมชาติถ้าดูผิวเผินก็ไม่มีอะไร ธรรมชาติไม่ว่าป่าเขาลำเนาไพร ล้วนแต่ให้ความสุข ความสดชื่นให้กับคนที่ไปเที่ยวชม หากยามใดอากาศแปรปรวน มีพายุลมฝน ความเงียบสงบ ความสดชื่นก็จะหายไป จะมีความน่ากลัววาดเสียวเกิดขึ้น ในท่ามกลางความสงบ อันตรายก็ย่อมมีอยู่เช่นกัน เปรียบเหมือนชีวิต ยามใดที่ชีวิตมีความสุข ความสงบร่มเย็น ยามนั้นก็มักจะมีความไม่สงบ อันตรายซ่อนอยู่เช่นกัน
ในความสงบของธรรมชาติ หากนำมาใช้กับชีวิตเพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง ธรรมชาติก็จะเป็นครูสอนที่ดีให้กับชีวิตของเราเช่นกัน กล่าวคือ
1.จงทำตัวเหมือนเมฆ จะต้องเป็นคนคิดก้าวไกล มีวิสัยทัศน์ มีความฝันที่สูงส่ง เข้าทำนอง"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" ต้องมองไปที่เป้าหมายที่สูงเข้าไว้ จะได้ไม่หลงทางและตกต่ำ
2.จงทำตัวเหมือนภูเขา จะต้องเป็นคนมีความมั่นคง เข็มแข็ง ไม่สะทกสะท้านกับปัญหาอุปสรรคใด ๆ อดทนต่อความทุกข์ยาก อดทนต่อแรงเสียดทานทุกอย่างที่เข้าสู่ชีวิตเข้าทำนอง"มั่นคงดังขุนเขา ไม่ใจเบาดังปุยนุ่น"
3.จงทำตัวเหมือนน้ำ จะต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจเมตตาอารีย์ สามารถทำตัวกลมกลืนเข้าได้กับทุกสภาวะ ไม่เป็นคนมีเหลี่ยมหลายคม ไม่เป็นคนกลับกลอก ไม่คนเป็นหลอกลวง
4. จงทำตัวเหมือนแผ่นดิน จะต้องเป็นคนใจกว้างขวาง อุทิศตนเพื่อผู้อื่น ทำประโยชน์และความสุขให้กับคนทั่วไป เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ จะทำอะไรจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นทีตั้ง เพราะประโยชน์ของส่วนรวมก็คือประโยชน์ของส่วนตัวนั่งเองใครอยู่ใกล้ก็จะมีแต่ความร่มเย็น เป็นสุข ไม่ก่อศัตรู และสร้างปัญหากับใคร
การดำรงชีวิตหากดูธรรมชาติก็จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น ในธรรมชาติก็จะมีทั้งความสงบราบเรียบ และพายุฝน ในการดำเนินชีวิตก็จะมีทั้งความราบรื่น มีปัญหาอุปสรค มีสุข มีทุกข์ มีดีใจและเสียใจ มีได้และมีเสียคละเคล้ากันไป เมื่อเป็นฉะนี้แล้วเราจะมานั่งเสียใจอยู่ใย...น่าคิด !!!