กาพย์พระไชยสุริยา เป็นนิทานสำหรับสอนอ่าน คาดว่าท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อท่านบวชอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ประมาณ พ.ศ.๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ โดยมีบทอ่านเรียงลำดับการสะกดคำตั้งแต่แม่ ก กา ต่อด้วยแม่กน แม่กง แม่กก แม่กด แม่กบ แม่กม จนถึงแม่เกย การประพันธ์ใช้กาพย์แบบต่าง ๆ ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ เรื่องพระไชยสุริยานี้ นอกจากเป็นประโยชน์ในด้านการ ฝึกอ่านสะกดคำแล้ว ยังให้ประโยชน์ในแง่ศึลธรรมจรรยาแก่เด็กๆ ไปด้วยในตัว
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้น ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จัดทำแบบเรียนภาษาไทยขึ้นชุดหนึ่ง มี ๖ เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ พระยาศรีสุนทรโวหารได้นำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา มาแทรกไว้ในมูลบทบรรพกิจด้วย
เมื่อเริ่มต้นเรียนในแม่ ก กา ท่านสุนทรภู่สอนให้ศิษย์ไหว้พระ ไหว้พ่อ แม่ ครู และเทวดาเสียก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มเรียนหนังสือ เมื่อครั้งผู้จัดทำยังเด็ก เมื่อเรียนเสร็จก็ต้องกราบหนังสือเรียนเสียก่อนเก็บเข้าที่ และต้องเก็บไว้ในที่สูง ไม่เดินข้ามหนังสือ
ทำนองเเต่ง เเต่งด้วยกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง เเละ กาพย์สุรางคนางค์
เรื่องย่อ
กาพย์พระไชยสุริยาเป็นเรื่องราวของพระไชยสุริยากษัตริย์ที่ครองเมืองด้วยความสงบเรียบร้อยมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งมีน้ำท่วมจนบ้านเมืองล่มสลายไป พระไชยสุริยาพร้อมกับนางสุมาลีพระมเหสีและนางกำนัลหนีลงเรือ แต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก คลื่นซัดพระไชยสุริยากับพระนางสุมาลีเข้าฝั่ง ทั้งสองต้องเดินทางอยู่กลางป่าจนพบกับฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีได้บอกถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองพังพินาศว่า ด้วยข้าราชสำนักทั้งหลายประพฤติชั่ว รับสินบนไม่รักษาความยุติธรรม ฟ้าดินจึงลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อน ฤาษีได้แนะนำให้พระไชยสุริยา และพระนางสุมาลีรักษาศีลปฏิบัติธรรม ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ออกบวชและบำเพ็ญธรรมจนสิ้นพระชนม์ชีพ ดังจะคัดมาเป็นตอนมาให้อ่าน ดังต่อไปนี้
แม่ ก กา(ยานี๑๑) |
๏ สะธุสะ จะขอไหว้
พ่อแม่แลครูบา
ข้าเจ้าเอา ก ข
แก้ไขในเท่านี้
จะร่ำคำต่อไป
ธระณีมีราชา
ชื่อพระไชยสุริยา
ชื่อว่าสุมาลี
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา
พ่อค้ามาแต่ไกล
ไพร่ฟ้าประชาชี
ทำไร่เขาไถนา
อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า
ที่หน้าตาดีดี
ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ
หาได้ให้ภะริยา
ไม่จำคำพระเจ้า
ถือดีมีข้าไท
คะดีที่มีคู่
ใครเอาเข้าปลามา
ที่แพ้แก้ชะนะ
ขี้ฉ้อก็ได้ดี
ที่ซื่อถือพระเจ้า
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา
ภิก์ษุสะมะณะ
คาถาว่าลำนำ
ไม่จำคำผู้ใหญ่
ที่ดีมีอะโข
พาราสาวะถี
ดุดื้อถือแต่ใจ
ผู้ที่มีฝีมือ
ไล่คว้าผ้าที่คอ
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา
ถือน้ำร่ำเข้าไป
หาได้ใครหาเอา
ผู้ที่มีอาญา
ฝีป่ามากระทำ
น้ำป่าเข้าธานี
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา
ชีบาล่าลี้ไป
|
พระศรีไตรสะระณา
เทวะดาในราษี
เข้ามาต่อ ก กา มี
ดีมิดีอย่าตรีชา
พอล่อใจกุมารา
เจ้าพาราสาวะถี
มีสุดามะเหษี
อยู่บูรีไม่มีไภย
มีกิริยาอะฌาศัย
ได้อาศัยในพารา
เชาบุรีก็ปรีดา
ได้เข้าปลาแลสาลี
ก็หาเยาวะนารี
ทำมะโหรีที่เคหา
เข้าแต่หอฬ่อกามา
โลโภพาให้บ้าใจ
เหไปเข้าภาษาไสย
ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา
คือไก่หมูเจ้าสุภา
ให้สุภาก็ว่าดี
ไม่ถือพระประเวณี
ไล่ด่าตีมีอาญา
ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ว่าใบ้บ้าสาระยำ
เล่าก็ละพระสะธำม์
ไปเร่ร่ำทำเฉโก
ศีรษะไม้ใจโยโส
ข้าขอโมทะนาไป
ใครไม่มีปรานีใคร
ที่ใคร่ได้ใส่เอาพอ
ทำดถดื้อไม่ซื้อขอ
อะไรฬ่อก็เอาไป
มิได้ว่าหมู่ข้าไทย์
แต่น้ำใจไม่นำพา
ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา
ไล่ตีด่าไม่ปราณี
มระณะกำม์เชาบุรี
ก็ไม่มีที่อาศัย
หนีไปหาพาราไกล
ไม่มีใครในธานี
|
(ฉบัง๑๖)
๏ พระไชยสุริยาภูมี
มาที่ในลำสำเภา
เข้าปลาหาไปไม่เบา
ก็เอาไปในเภตรา
เถ้าแกเชาแม่แซ่มา
ก็มาในลำสำเภา
ตีม้าฬ่อฉ้อใบใส่เสา
สำเภาก็ใช้ใบไป
เภตรามาในน้ำไหล
ที่ในมหาวารี
พระสุธาอาศัยไม่มี
อยู่ที่พระแกลแลดู
ปลากะโห้โลมาราหู
มีอยู่ในน้ำคล่ำไป
ราชาว้าเหว่หฤไทย
มาในทะเลเอกา
แลไปไม่ปะพะสุธา
โพล้เพล้เวลาราตรี
ราชาว่าแก่เสนี
วารีนี้เท่าใดนา
ข้าเฝ้าเล่าแก่ราชา
วารีนี้ไซร้ใหญ่โต
ไหลมาแต่ในคโค
มะโหฬาล้ำน้ำไหล
บาฬีมิได้แก้ไข
ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเล่ามา
ว่ามีพระยาสกุณา
กายาเท่าเขาคีรี
ชื่อว่าพระยาสำภาที
วารีนี้โตเท่าใด
โยโสโผผาถาไป
จะใกล้โพล้เพล้เวลา
แลไปไม่ปะพะสุธา
ชีวาก็จะประไลย
พอปลามาในน้ำไหล
อาศัยที่ศีรษะปลา
ฉะแง้แลไปไกลตา
ว่าขอษะมาอไภย
วารีที่เราจะไป
ข้าไหว้จะขอมรคา
ปลาว่าข้าเจ้าเยาวภา
อาศัยอยู่ต่อธระณี
สะกุณาอาลัยชีวี
สู่ที่ภูผาอาศัย
ข้าเฝ้าเล่าแก่ภูวไนย
ฤไทยว้าเหว่เอกา
จำไปในทะเลวรา
เภตราก็เหเซไป
ลมก็เกเอาเสาใบ
น้ำไหลเข้าลำสำเภา
ผีน้ำซ้ำไต่ใบเสา
สำเภาระยำคว่ำไป
ราชาคว้ามืออรไทย
ต่อไว้ไม่ไกลกายา
เถ้าแก่เชาแม่เสนา
จระเข้เหราคร่าไป
ราชานารีร่ำไร
จำไปพอปะพะสุธา
มีไม้ไทรใหญ่ใบหนา
เวลาพอค่ำร่ำไร ฯ
|
พาพระมะเหษี
นารีที่เยาว์
เสนีเสนา
วายุพายุเพลา
ค่ำเช้าเปล่าใจ
ราชานารี
เหราปลาทู
วายุพาคลาไคล
เปล่าใจไนยนา
ใครรู้คะดี
ว่าพระมหา
แผ่ไปใหญ่โต
ข้าพระเจ้าเข้าใจ
ใหญ่โตมะโหฬา
ใคร่รู้คะดี
พอพระสุริไส
ย่อท้อรอรา
สะกุณาถาไป
จำของ้อปลา
ใกล้ฤาว่าไกล
มิได้ไปมา
ลาปลาจระลี
พระเจ้าเข้าใจ
พยุใหญ่มา
ทะลุปรุไป
เจ้ากำม์ซ้ำเอา
เอาผ้าสะไบ
น้ำเข้าหูตา
มีกำม์จำใจ
เข้าไปไสยยา
|
แม่ กง(กาพย์ฉบัง๑๖) |
๏ ขึ้นกงจงจำสำคัญ
รำพรรณ์มิ่งไม้ในดง
๏ ไกรกร่างยางยูงสูงระหง
คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง
๏ มะม่วงพลวงพลองช้องนาง
กินพลางเดินพลางหว่างเนิน
๏ เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน
พระแสงสำอางข้างเคียง
๏ เขาสูงฝูงหงษ์ลงเรียง
สำเนียงน่าฟังวังเวง
๏ กลางไพรไก่ขันบันเลง
ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง
๏ ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง
แตรสังข์กังสะดาลขานเสียง
๏ กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
๏ ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
๏ ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
๏ ป่าสูงยูงยางช้างโขลง
โยงกันเล่นน้ำคล่ำไปฯ
|
ทั้งกนปนกัน
ตลิงปลิงปริงประยง
หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง
เหมือนอย่างนางเชิญ
เริงร้องซ้องเสียง
ฟังเสียงเพียงเพลง
เพียงฆ้องกลองระฆัง
พระยาลอคลอเคียง
เพลินฟังวังเวง
คางแข็งแรงเริง
อึงคะนึงผึงโผง
|
สุรางคนางค์ ๒๘ (แม่กน)
ขึ้นใหม่ใน กน |
ก กา ว่าปน |
ระคนกันไป |
เอ็นดูภูธร |
มานอนในไพร |
มณฑลต้นไทร |
แทนไพชยนต์สถาน |
ส่วนสุมาลี |
วันทาสามี |
เทวีอยู่งาน |
เฝ้าอยู่ดูแล |
เหมือนแต่ก่อนกาล |
ให้พระภูบาล |
สำราญวิญญา |
พระชวนนวลนอน |
เข็ญใจไม้ขอน |
เหมือนหมอนแม่นา |
ภูธรสอนมนต์ |
ให้บ่นภาวนา |
เย็นค่ำร่ำว่า |
กันป่าไภยพาล |
วันนั้นจันทร |
มีดารากร |
เป็นบริวาร |
เห็นสิ้นดินฟ้า |
ในป่าท่าธาร |
มาลีคลี่บาน |
ใบก้านอรชร |
เย็นฉ้ำน้ำฟ้า |
ชื่นชะผะกา |
วายุพาขจร |
สาระพันจันทน์อิน |
รื่นกลิ่นเกสร |
แตนต่อคลอร่อน |
ว้าว่อนเวียนระวัน |
จันทราคลาเคลื่อน |
กระเวนไพรไก่เถื่อน |
เตือนเพื่อนขานขัน |
ปู่เจ้าเขาเขิน |
กู่เกริ่นหากัน |
สินธุพุลั่น |
ครื้นครั่นหวั่นไหว |
พระฟื้นตื่นนอน |
ไกลพระนคร |
สะท้อนถอนฤไทย |
เช้าตรู่สุริยน |
ขึ้นพ้นเมรุไกร |
มีกำม์จำไป |
ในป่าอารัญ |
แม่ กก(ยานี๑๑) |
๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยาก
มันเผือกเลือกเผาไฟ
รอนรอนอ่อนอษฎงค์
ช่วงดังน้ำครั่งแดง
ลิงค่างครางโครกครอก
ชะนีวิเวกวอน
ลูกนกยกปีกป้อง
แม่นกปกปีกเคียง
ภูธรนอนเนินเขา
ตกยากจากศฤงคาร
ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า
อยู่วังดังจันทรา
เพื่อนทุกข์ศุขโศกเศร้า
มิ่งขวัญอย่างรัญจวน
ชวนชื่นกลืนกล้ำกลิ่น
คลึงเคล้าเย้ายวนยี
|
แสนลำบากจากเวียงไชย
กินผลไม้ได้เป็นแรง
พระสุริยงเย็นยอแสง
แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน
นกหกร่อนนอนรังเรียง
อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง
เลี้ยงลูกอ่อนป้อนอาหาร
เคียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์
สงสารน้องหมองภักตรา
สร่างโศกเศร้าเจ้าพี่อา
มาหม่นหมองลอองนวล
จะรักเจ้าเฝ้าสงวน
นวลภักตรน้องจะหมองศรี
มิรู้สิ้นกลิ่นมาลี
ที่ทุกข์ร้อนหย่อนเย็นทรวงฯ
|
แม่ กด(ยานี๑๑) |
๏ ขึ้นกดบทอัศจรรย์
นกหกตกรังรวง
แดนดินถิ่นมนุษย์
ตึกกว้านบ้านเรือนโรง
บ้านช่องคลองเล็กใหญ่
ปลุกเพื่อนเตือนตะโกน
พิณพาทย์ระนาดฆ้อง
ระฆังดังวังเวง
ขุนนางต่างลุกวิ่ง
พันละวันดันตึงตัง
พระสงฆ์ลงจากกุฎิ
หลวงชีหนีหลวงเถร
พวกวัดพลัดเข้าบ้าน
ต้นไม้ไกวเอนโอน
พวกผีที่ปั้นลูก
ขิกขิกระริกกัน
สององค์ทรงสังวาส
ตื่นนอนอ่อนอกใจ
|
เสียงครื้นครั่นชั้นเขาหลวง
สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนโงง
เสียงดังดุจเพลิงโพลง
โคลงคลอนเคลื่อนขะเยื่อนโยน
บ้างตื่นไฟตกใจโจน
ลุกโลดโผนโดนกันเอง
ตะโพนกลองร้องเป็นเพลง
โหง่งหง่างเหง่งเก่งก่างดัง
ท่านผู้หญิงวิ่งยุดหลัง
พลั้งพลัดตกหกคะเมน
วิ่งอุดตลุดฉุดมือเณร
ลงโคลนเลนเผ่นผาดโผน
ล้านต่อล้านซานเซโดน
ลิงค่างโจนโผนหกหัน
ติดจมูกลูกตาพลัน
ปั้นไม่ทันมันเดือดใจ
โลกธาตุหวาดหวั่นไหว
เดินไม่ได้ให้อาดูรฯ
|
แม่ กบ(ยานี๑๑) |
๏ ขึ้นกบจบแม่กด
ผาศุกรุกขมูล
ระงับหลับเนตรนิ่ง
เหมือนกับหลับสนิทนอน
บำเพ็ญเล็งเห็นจบ
สวรรค์ชั้นวิมาน
เข้าฌานนานนับเดือน
จำศีลกินวาตา
วันนั้นครั้นดินไหว
เล็งดูรู้คะดี
ประกอบชอบเป็นผิด
สามัญอันธพาล
ลูกศิษย์คิดล้างครู
ส่อเสียดเบียดเบียนกัน
โลภลาภบาปบ่คิด
อุระพะสุธา
บันดาสามัญสัตว์
ไตรยุคทุกขตะรัง
|
พระดาบศบูชากูณฑ์
ภูลสวัสดิ์สัถาวร
เอนองค์อิงพิงสิงฃร
สังวรศีลอภิญญาณ
พื้นพิภพจบจักระวาฬ
ท่านเห็นแจ้งแหล่งโลกา
ไม่ขะเยื่อนเคลื่อนกายา
เป็นผาศุกทุกเดือนปี
เกิดเหตุใหญ่ในปะถะพี
กาลกิณีสี่ประการ
กลับจริตผิดโบราณ
ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม์
ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน
ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
โจทย์จับผิดฤษยา
ป่วนเป็นบ้าฟ้าบดบัง
เกิดวิบัตรปัติปาปัง
สังวัจฉะระอะวะสานฯ
|
แม่ กม(ฉบัง๑๖) |
๏ ขึ้นกมสมเด็จจอมอารย์
ผู้ผ่านภาราสาวัดถี
ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี
บุรีจึงล่มจมไป
ประโยชน์จะโปรดภูวไนย์
เลื่อมใสสำเร็จเมตตา
เปล่งเสียงเพียงพิณอินทรา
คงมาวันหนึ่งถึงตน
เบียดเบียนเสียดส่อฉ้อฉล
ไปทนทุกข์นับกัปกัลป์
เมตตากรุณาสามัญ
เป็นสุขทุกวันหรรษา
สมบัติสัตว์มนุษย์ครุทธา
เทวาสมบัติชัชวาลย์
สุขเกษมเปรมปรีดิ์วิมาน
ศฤงฆารห้อมล้อมพร้อมเพรียง
กระจับปี่สีซอทอเสียง
สำเนียงนางฟ้าน่าฟัง
เดชพระกุศลหนหลัง
ได้ดังมุ่งมาดปรารถนา
จริงนะประสกสีกา
วันหน้าจะได้ไปสวรรค์
จบเทศเสร็จคำรำพรรณ์
ด้นดั้นเมฆาคลาไคลฯ
|
เอ็นดูภูบาล
กลอกกลับอัปรี
นิ่งนั่งตั้งใจ
บอกข้อมรณา
บาปกำม์นำตน
จะได้ไปสวรรค์
กลอกกลับอัปรา
อิ่มหนำสำราญ
ขับรำจำเรียง
สิ่งใดใจหวัง
สวดมนต์ภาวนา
พระองค์ทรงธรรม์
|
แม่ เกย(ฉบัง๑๖) |
๏ ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไทย์
เลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ
เห็นไภยในขันธสันดาน
สำราญสำเร็จเมตตา
สององค์ทรงหนังพยัคฆา
รักษาศีลถือฤาษี
เช้าค่ำทำกิจพิธี
เป็นที่บูชาถาวร
ปะถะพีเป็นที่บรรฐร
เหนือขอนเขนยเกยเศียร
ค่ำเช้าเอากราดกวาดเตียน
เรียนธรรมบำเพ็ญเคร่งครัน
สำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์
นานับกัปกัลป์พุทธันดร
กุมารการรุญสุนทร
เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
ก ข ก กา ว่าเวียน
อ่านเฃียนผสมกมเกย
ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
หันหวดปวดแสบแปลบเสียว
อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจำ
บอกไว้ให้ทราบบาปกรรม
แนะนำให้เจ้าเอาบุญ
เดชะพระมหาการุญ
แบ่งบุญให้เราเจ้าเอยฯ
|
ฟังธรรมน้ำใจ
ตัดห่วงบ่วงมาร
จัดจีบกลีบชะฎา
กองกูณฑ์อัคคี
เอนองค์ลงนอน
เหนื่อยยากพากเพียร
เสวยสุขทุกวัน
ไว้หวังสั่งสอน
หนูน้อยค่อยเพียร
ไม้เรียวเจียวเหวย
หยิกซ้ำช้ำเฃียว
เรียงเรียบเทียบทำ
ใครเห็นเป็นคุณ
|