Advertisement
เสาร์ห้า ...... ตอนที่๑ ...... เทิด ยอดธง
(ฉบับย่อ)
เมื่อเทิด ยอดธง เดินทางมาที่แผ่นดินกรุงเก่าบ้านเกิดของมันและเพื่อนรัก กริ่ง คลองตะเคียน ก็ได้รับการต้อนรับจากสิงห์เฮโรอีนที่บัดนี้กลายเป็นจ้าวสององค์ที่ทรงไสยาสน์ไปด้วยฝีมือของยอดเรียบร้อยแล้ว
เสาร์ห้า ตอนที่ 1 เทิด ยอดธง
ชีวิตของเทิด ยอดธง โชกเลือดกับการบำราบนักเลงต่อนักเลง ไปสู่การป้องกันประเทศพร้อมกับเพื่อนร่วมน้ำสาบานอีกสี่คน ห้าชีวิต ระห่ำที่ส่งตัวเองขึ้นไปสู่ความเป็นห้าวีรบุรุษ ที่เพิ่งจะแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางด้วยคำสั่งลับที่เรียกให้กลับจากสมรภูมิเมื่อสิบกว่าวันมานี้ ก่อนที่จะรับงานใหม่ที่เขายังไม่ทราบว่าเป็นงานอะไร เขาใช้เวลาที่มีอยู่นี้พักผ่อน และเดินทางตามหาเพื่อนๆที่เหลือเพื่อมารับงานใหม่
เมื่อไปถึงบ้านกริ่ง กลอย(น้องสาวของกริ่ง) และ แม่ก้าน ดีใจที่ เทิดมางานบวชของกริ่งที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทว่าเสียงหวีดร้องของกลอย และผู้คนเอะอะกันอยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงอุทานเรียกอย่างตกอกตกใจจากแม่ของกริ่ง
"กริ่งลูกแม่"
ร่างของชายคนหนึ่งเลือดแดงเถือกทั้งตัว อยู่ในอ้อมแขนของหญิงต่างวัยแม่ลูก
จะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก
กริ่ง คลองตะเคียน !
เสาร์ห้า ...... ตอนที่ ๒ .... กริ่ง คลองตะเคียน
ร่างของคนเลือดท่วมตัว อาการเข้าขั้นตรีทูต เมื่อเหลือบตาเห็นเพื่อนรัก ก็ลุกกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ ท่ามกลางความตกตะลึงซ้ำสองของใครต่อใคร
กริ่ง คลองตะเคียน โดนล้อมกรอบห้าหนึ่ง มีดและไม้ ส่วนเลือดที่กระฉูดเต็มตัวก็ของหมาหมู่นี่แหละ ส่วนมันเองไม่เป็นอะไรเลย
กำลังจะสืบสาวราวเรื่องกันต่อ ก็พอดีที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
"ยังบวชไม่ได้"
หลวงพ่อของกริ่งมาห้ามไม่ให้บวช เพราะจะมีเคราะห์ และดีใจเมื่อได้พบเทิด ยอดธง พร้อมบอกให้สองเสาร์ตามมา เมื่อพากริ่งกับเทิดพ้นออกจากบ้าน หลวงพ่อได้สั่งกับศิษย์รักว่า ไม่ต้องห่วงทางบ้าน เพราะแม้พวกที่มีเรื่องจะมาพาลกับแม่ก้านแต่ก็ไม่เป็นไร ส่วนเสาร์ทั้งสอง อีกประเดี๋ยวจะได้รับข่าวงานสำคัญ เมื่อกริ่งและเทิดก้มศีรษะพนมมือไหว้ เงยหน้าขึ้นหลวงพ่อก็หายไปแล้ว
ที่บ้านแม่ก้าน ไอ้เปรม สมุนที่เสี่ยย้งเลี้ยงไว้เช่นเดียวกับกำนัน มาตามจับกริ่ง ข้อหาไปฆ่าคนของเถ้าแก่ยง แน่นอนที่กลอยจะปฏิเสธ เพราะสองเสาร์นั่นไม่อยู่แล้ว แต่ไอ้พวกพลเมืองร้ายในคราบพลเมืองดี ก็ไม่ลดละ ขอค้นเรือนเท่ารังหนู แม้จะต้องล่าถอยกลับไป แต่มันก็ไม่วายกร่างกับบรรดาไทยมุงที่มารุมล้อมว่า จะออกหมายจับ และจะตามให้เจอภายในคืนนี้
ฝ่ายเทิด กับ กริ่ง เมื่ออำลาจากหลวงพ่อ ก็จับเรือหางยาวไปหัวรอ และเรียกแท็กซี่ย้อนขึ้นไปทางหัวแหลม เลยทางแยกเข้าอ่างทองนิดหนึ่ง แล้วกริ่งก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง กำนันยง ใช้อิทธิพลและแรงสนับสนุนจากเถ้าแก่ย้ง ตั้งบ่อนเถื่อน ขายเฮโรอีน เมื่อกริ่งกลับบ้านมา ก็เลยส่งคนมาทาบทามให้ไปทำงานด้วย กริ่งได้สำแดงฝีมือให้ประจักษ์ คนที่มาดูก็เลยจะฝากฝังกับเถ้าแก่ย้งเป็นการพิเศษ แต่เจ้าตัวปากไม่ดี บอกว่า อยากเป็นเตี่ยเถ้าแก่ย้งมากกว่าเป็นลูกน้อง ก็เลยเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
พอเล่ามาถึงตรงนี้ เทิดหยุดเดินและรั้งแขนกริ่งไว้ อีกมือตะปบเสื้อคว้าพระยอดธงออกมา นิ้วหัวแม่มือเลื่อนปุ่มเล็กๆหลังกรอบ ก็มีเสียงออกจากลำโพงจิ๋วของเครื่องรับวิทยุแบบพิเศษ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นกรอบพระยอดธง
“ศูนย์เรียกเสาร์หนึ่ง ได้ยินแล้วตอบด้วย เปลี่ยน”
“เสาร์หนึ่งตอบศูนย์ เสาร์หนึ่งได้ยินแล้ว เปลี่ยน”
“รายงานจุดที่ตั้ง เปลี่ยน”
“ที่ตั้งสามเหนือ รัศมีเจ็ดสิบ เปลี่ยน”
“ทราบ ศูนย์ทราบแล้ว เตรียมฟังคำสั่ง เปลี่ยน”
“พร้อม”
“เทิดหรือ” เสียงจากลำโพงเปลี่ยนเป็นอีกคน
“ครับผม”
“ไปทำอะไรที่อยุธยา”
“กระผมมาพบเสาร์สองครับผม”
“ดี แล้วพบไหม”
“พบครับ เสาร์สองอยู่กับผมแล้ว”
“ดีแล้ว เทิด กริ่ง มาพบฉันที่ศูนย์ภายในสองชั่วโมง เลิกกัน”
ก่อนที่ทั้งสองจะรับคำสั่ง เสียงจากลำโพงก็เงียบหายไป สองเสาร์สบตากันในความมืด เลื่อนปุ่มกลับที่ยัดพระเครื่องลงอก ก่อนที่จะห้อเหยียดแต่ก็ต้องเบรกจนตัวโก่ง เพราะเบื้องหน้าของเขาขณะนี้ ชายฉกรรจ์นับสิบตีแถวหน้ากระดาน รอเขาอยู่แล้ว และเมื่อกริ่งเขม้นมองคนเดินหน้าแถวก็ร้องอุทานว่า
“กำนันยง”
เสาร์ห้า ...ตอนที่ ๓....ดอน ท่ากระดาน
(ฉบับย่อ)
“เออกูเอง ไอ้กริ่งอย่าหนีนะ”
กระบวนการประมาณขุมกำลังข้าศึก ใครๆ ก็ต้องยกนิ้วให้ กริ่งกวาดตาอย่างรวดเร็วแล้วรายงานตัวเลข
“คมแฝกสี่ มีดขอสาม อีดาบสี่ ปืนกระบอกเดียวที่กำนัน”
เทิดหักไม้จิ้มฟันเป็นสองท่อน พร้อมบอกว่า ไม้ยาวสู้ ไม้สั้นยืนดู แต่โดนกริ่งท้วงว่ามีเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น เทิดจึงต้องเปลี่ยนมาใช้แผนสี่สอง กูเดินหน้าสี่ถอยหลังสองแล้วเดินหน้าสี่ ส่วนมึงถอยสี่หน้าสองถอยสี่ เพื่อแข่งกับเวลา
การรบนอกแบบที่เวียตนาม หน่วยกล้าตายเสาร์ห้า ถูกขนานนามว่า ห้าพญายม ที่นี่ ขนาดเพียงสองเสาร์ กับกำลังล้อมเพียงหยิบมือเท่านั้น ไม่ถึงสิบนาทีก็ราบพณาสูร
จากนั้นสองเสาร์ก็โบกแท็กซี่มุ่งไปบางกอก
....................................................................
ที่เวทีมวยชั่วคราวในงานวัด ของอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี คู่ที่กำลังชกเป็นคู่ที่สี่ของรายการ น้ำเงินเป็นมวยกรุงเทพ ฝีมือดี จึงหาคู่ชกกับมวยพื้นถิ่นไม่ได้ จนมีเจ้าหนุ่มร่างสะโอดสะองมาขอชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าเท่ากันพอดี ฝ่ายมวยขาดคู่ หน้าตามู่ฮู่ หูหนา ล่ำเป็นมะขามข้อเดียว กล้ามเป็นมัด จึงมีการท้าทายกันเล็กน้อย ไอ้หนุ่มน้อยให้ใส่ชื่อไปว่า ดอน ท่ากระดาน
“มวยไทยสามยกล้มเงินรางวัลระหว่างสิงห์คำรณ มหาจักร กับ ดอน ท่ากระดาน”
จากยกแรก ดอน ประคับประคองตัว ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจชก เอาแต่วิ่งหนีรอบเวทีไปจนถึงหมดยกสอง
ระฆังยกสามดังขึ้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีหนุ่มสกรรจ์สองคนแทรกคนดูเข้าไปจนเกาะขอบเวทีมุมแดง
ท่ามกลางเสียงโห่ของคนเชียร์ที่มุมแดงเอาแต่กรรเชียงหนีท่าเดียว ส่วนสิงห์คำรณโมโหจนหูตาแดง ที่ยังล้มมันไม่ได้ จึงถลาลิ่วเข้ามาหมายจะขยี้ให้แหลกเป็นผุยผง ดอนเต้นไปหนีไปไม่ทันระวังโดนหมัดเข้าไปที่สันกราม เข่าอ่อนยวบ ทรุดลงไปกองที่มุมแดง
“หนึ่ง สอง”
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ไอ้ดอน ไม่งั๊นกูขึ้นไปกระทืบ”
“สาม...”
“ไอ้เทิด ไอ้กริ่ง มึงมาไงกันวะ”
“สี่...”
“มาตามมึง เร็วเข้า มึงจะล้มมวยรึไง”
“อือ กูจะหาซักห้าร้อยขึ้นไปหามึงพรุ่งนี้เชียว”
“ห้า....”
“หก...”
“ถ้ามึงไม่ลุก กูนับถึงสาม กูกะไอ้กริ่งจะขึ้นไปกระทืบมึง น็อคมันเร็วๆ กูมีธุระด่วนจี๋ หนึ่ง สอง....”
“เจ็ด.....”
ดอน สปริงตัวผางจากท่านอนขึ้นมายืนเต็มตัว พร้อมชกต่อ ท่ามกลางความงงงันของกรรมการ คู่ชก และนักพนันรอบสนาม
สิงห์คำรณ โผนเข้ามาด้วยความประหลาดใจ
ไอ้หมอนี่กำลังเมาหมัด โดนซ้ำอีกสักชุดสองชุดก็ไสยาสน์
แย็บนำเข้าไปก่อนสองหมัดซ้อน ถูกสองหมัด และส่งอีขวาเข้าไปสุดแรง
ดอนก้มหัวหลบนิดเดียว นวมถากหัวไป
ดอนกระทุ้งด้วยขวาสั้นเข้าชายโครงแล้วฉากออก เพลงเท้าบรรลัยจักรก็บรรเลง ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา ปิดได้ปิดไป
สิงห์โงนเงน อยู่ท่ามกลางพายุเท้า
ยังไม่ทันนึกอะไรสติก็ดับวูบ
กรรมการตกตะลึงก่อนจะมีสติ
นับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า....! จนสิบ
นับต่ออีกสามเที่ยวแปดเที่ยวก็ไม่ฟื้น
กรรมการจับมือดอนชูขึ้นฐานะผู้พิชิต
นักพนันกระเป๋าฉีกควากกันเป็นแถวๆ
กองทัพรถถังฮือกันเข้ามาหมายจะฉีกเนื้อไอ้คนนักมวยเจ้าเล่ห์
ทั้งสามจึงต้องใส่ตีนหมาห้อเหยียดเรียงเดี่ยวหลบหนีผู้คนหายไปในความมืด
เสาร์ห้า ...ตอนที่ ๔....กำเนิดเสาร์ห้า
(ฉบับย่อ)
ที่วัดเขาถ้ำ เมื่อสามเสาร์หนีบาทาหมู่พ้นมาได้ ก็กลับมานั่งลิ้นห้อยเป็นหมาหอบแดดอยู่ที่วัด หลวงพ่อว่ากล่าวดอน ที่แอบไปเปรียบมวยโดยที่ไม่บอกหลวงพ่อ เห็นว่ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาถึง 3 เสาร์ ทำให้นึกถึงความหลังเมื่อครั้งปลุกเสกพระเสาร์ห้า จึงได้เล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้เสาร์ทั้งสามฟัง
"วันเสาร์ห้า หมายถึง วันเสาร์ที่ตรงกับขึ้นหรือแรมห้าค่ำ เดือนห้า" หลวงพ่อเริ่มเล่า
"เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น มีวันเสาร์ห้า แรมห้าค่ำ เดือนห้าที่มีฤกษ์ประกอบงามที่สุด พระห้าองค์ที่เป็นเพื่อนรักใคร่กันสนิทสนมมาก และต่างมีวิชาความรู้ติดตัวกันพอสมควร ประชุมคิดกันว่า วันเสาร์ห้าที่จะถึงนั้น จะนั่งปรกปลุกเสกของตลอดคืน ภิกษุทั้งห้าองค์นั้นมีพระเครื่องที่เก่าแก่ที่งามที่สุดและรักที่สุดองค์ละองค์ มีพระกริ่ง คลองตะเคียน พระยอดธง พระท่ากระดาน พระสมเด็จ และพระนางพญา"
"เสาร์ห้าคืนนั้น ที่นี่แหละ พระห้าองค์นั่นก็นั่งปรกตลอดคืน เพ่งจิตเฉพาะพระเครื่องของใครก็ของใคร ประมาณสักตีห้า พระเครื่องแต่ละองค์ที่วางราบไว้แต่หัวค่ำ ก็ผงกองค์ขึ้นตั้งอยู่สักอึดใจ แล้วก็เอนราบลงไปใหม่ฟ้าสางพอดี เช้าขึ้นเราก็แยกย้ายกันไป ก่อนจากกันเราคิดกันว่าจะมอบพระเครื่องที่ขลังได้ที่ให้กับทายาทหรือลูกศิษย์ที่พอที่จะเป็นหัวแก้วหัวแหวนก้นกุฎีได้ หลวงพ่อเมี้ยนก็เสนอว่า เราจะออกหาเด็กที่เกิดในคืนวันนั้นคือวันเสาร์ห้า ต้องเป็นผู้ชายแล้วขอรับไว้เป็นลูก ก็ได้เด็กเกิดตามที่ต้องการทุกองค์ พ่อได้ไอ้ดอนที่กาญจนบุรีนี่เอง เลี้ยงมันมาจนโตพอ มันจะไปเป็นทหาร พ่อก็มอบพระท่ากระดานให้ มติที่ประชุมอีกเหมือนกันที่ตกลงว่า ไม่ว่าเด็กนั้นสกุลเดิมจะอย่างไร เราจะเปลี่ยนเป็นสกุลพระเครื่องให้ทั้งหมด จึงได้มี เทิด ยอดธง มีกริ่ง คลองตะเคียน มีดอน ท่ากระดาน ยอด นางพญา และ เดี่ยว สมเด็จ"
"พ่อดีใจที่ทุกคนมาพบกัน รักใคร่กันเหมือนพ่อกับหลวงพ่อเคยรักกันมาก่อนเมื่อสี่ห้าสิบปีมาแล้ว ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งในห้าประพฤติชั่วร้าย แต่กลับได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ เท่ากับพุทธานุภาพได้ประจักษ์ออกมาแล้ว บอกพวกเอ็งอีกสองคนด้วยว่า พวกเอ็งนี่ รักษาพระของแต่ละคนไว้ให้ดี พร้อมกับรักษาความดีของตัวเองแต่ละคนอย่าให้มัวหมอง คนที่ห้อยพระเครื่องไม่ใช่นึกจะทำอะไรๆได้ตามใจชอบไปทุกอย่าง ทางที่ทำให้ของเสื่อมมีอยู่มากมาย ถ้ารักษาดี ทำดี พระก็จะคุ้มครองได้ดังใจปรารถนาทุกอย่าง"
ทั้งสามก้มลงกราบนิ่ง
หลังจากที่ทุกคนได้ทราบที่มาของตนแล้ว ทำให้ย้อนไปนึกถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับตนขณะเป็นหน่วยกล้าตายอยู่ชายแดน
เทิดนึกถึงแนวรบที่เคยฟันฝ่ามา เขาเคยถูกยิงด้วยปืนกล แต่ไม่เข้า เสื้อทะลุเป็นรู ผิวหนังเพียงแต่ไหม้เกรียมเท่านั้น ดอนเหยียบขวากหลุมเข้าเต็มเปา ถ้าเป็นคนอื่น คงทะลุออกหลังเท้า แต่ดอนกลับย่ำเล่นเหมือนโยคีเดินบนตะปู กริ่งโดนดาบปลายปืนเต็มอก ทั้งคนโถมแทง ทั้งคนถูกแทงกระเด็นไปคนละทาง จะหาแผลสักเท่าแมวข่วนก็ไม่มี ยอด นางพญา กับ เดี่ยว สมเด็จ อยู่หน่วยเดียวกัน ลูกปืนใหญ่ตกลงไปในหลุมอย่างกะจับวาง หน่วยปืน ค. ทั้งหน่วยตายเรียบ ร่างเละแหลกเหลว แต่เมื่อคุ้ยดินคุ้ยทรายขึ้น ปรากฏว่าไอ้เพื่อนรักสองคนยิ้มร่า ลุกขึ้นโดดเตะเขาเสียอีก หาว่าขุดช่วยช้าไป เกือบตายเพราะหายใจไม่ออก
เมื่อหลวงพ่อไล่ให้ไปนอน ดอนได้ไต่ถามถึงเรื่องที่เทิดกับกริ่งไปมีเรื่องกับกำนันก่อนมาหาตน แล้วจึงแยกย้ายกันนอน
ภายในถ้ำที่เงียบสงัดกลางดึก กลับปรากฏเสียงลั่นเอี๊ยดยาวไกลแผ่วๆ มาจากทางด้านบนของถ้ำ ดอนปลุกเพื่อนทั้งสองที่กำลังจะเคลิ้ม
“ท่าจะไม่ค่อยดีแล้วว่ะ หลวงพ่อท่านลุกไปข้างนอกแล้ว”
“กูได้กลิ่นไม่ดีมาหลายวันแล้ว เห็นคนแปลกหน้ามาเมียงๆมองๆแถวโบสถ์หลายวันแล้ว”
“ทำไมวะ”
“พระประธานในโบสถ์เป็นพระเก่าแก่ สวยมาก กูว่าน่าจะเป็นพวกตัดเศียรพระ!”
ทั้งสามพุ่งลิ่วไปที่ประตูด้านหลังโบสถ์ที่กำลังเปิดอ้าอยู่
แต่.............
ก็ปะทะกับปลายไม้เท้าที่ยื่นออกมายันเอาไว้
“อย่า เฉยๆไว้ ข้าเอง”
หลวงพ่อก้าวออกไปตรงที่มีเสียงเลื่อย และกระแอมดังๆ
เสียงใบเลื่อยเงียบลงไปในทันที
และ...........
“ใครมาทำอะไรกันที่นี่”
"หลวงพ่อคง" ใครในที่นั้นอุทาน
“เออ ข้าเอง ไอ้พวกอัปรีย์ มึงคิดจะทำลายวัดเชียวเหรอ”
ทันใดนั้น ไอ้สามโจรก็เผ่นพรวดออกมาทางประตู เทิดถลันสวนออกไปอย่างเหลืออด
“อย่า ไม่ต้อง อย่าไปทำมัน ปล่อยข้าเอง”
ไอ้สามนรกลนลานจะหนีออกไปได้อยู่แล้ว
“หยุดตรงนั้นแหละเอ็งเอ๋ย ไปไหนไม่ได้จนกว่าเขาจะมาลากคอพวกเอ็งไป”
เสียงนั้นมีกังวานเย็นประหลาด
สิ่งมหัศจรรย์พลันบังเกิดแก่สายตา
ร่างของไอ้พวกเห็นแก่เงิน เพียงแค่ไอ้พวกต่างชาติต่างด้าวโยนยื่นรดหัวกระบาลบัญชา ก็ตาโตกล้าทำลายแม้แต่สิ่งที่บรรพบุรุษเคารพบูชากราบไหว้มาหลายชั่วคน ต่างพากันชะงักนิ่งอยู่ในอาการต่างๆ กัน นิ่งเหมือนรูปปั้น คนหนึ่งอยู่ในท่าวิ่ง ก็ตรึงอยู่ในท่าวิ่ง คนหนึ่งผงะจะหงายอยู่ตรงประตู และคนหนึ่งกำลังก้มตัวอยู่ ก็ก้มอยู่อย่างนั้นเหมือนถูกสาป
ถูกแล้ว
พวกมันทั้งสาม ถูกวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อคงตรึงนิ่งอยู่กับที่!!
เสาร์ห้า ...ตอนที่ ๕ ...ยอด นางพญา
(ฉบับเต็ม)
เทิดเองก็พลอยตกตะลึงไปกับภาพเบื้องหน้านั้นด้วย
เคยได้ยินแต่เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา ว่าพระร่วงเคยสาปขอมดำดินที่โผล่ขึ้นมากลางลานวัด พบพระร่วงขณะกวาดลานวัดอยู่ เมื่อขอมถามหาพระร่วงแบบจุดใต้ตำตอ พระร่วงในสมัยที่ยังครองเพศบรรพชิตอยู่ พระองค์นั้นบอกกับขอมสั้นๆ ว่า
"อาตมาจะไปตามให้ โยมรออยู่ตรงนี้ก่อน!"
ขอมที่โผล่ขึ้นมาจากดินเพียงครึ่งตัว ก็คาค่างแผ่นดินอยู่ตรงนั้นเอง
นั่นเป็นเรื่องที่เล่ากันถึงอิทธิฤทธิ์ เล่ากันจนเป็นตำนาน เป็นเหมือนนวนิยาย
เขาเพิ่งจะพบเห็นแก้ตาตนเองบัดนี้เอง มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่..... แต่ก็เป็นไปแล้ว
วาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อคง อาจารย์ของดอน ท่ากระดาน แสดงอภินิหารขึ้นมาแล้ว
****************
ร่างของใครคนหนึ่งก้าวดุ่มๆ ตรงมาที่โบสถ์
ก้าวเข้ามาจนถึงที่ทุกคนยืนอยู่
"อ้อ ทิดหวั่น กลับมาแล้วรึ ?" หลวงพ่อคงถามขึ้นก่อน
"ครับ หลวงพ่อ อ้าว นั่นเกิดอะไรขึ้นล่ะ?" ทิดหวั่นเหลียวเลิ่กลั่กมองสามอมนุษย์ที่อยู่ในท่าต่างๆ กัน
"ข้าเพียงแต่บอกให้มันหยุดอยู่ตรงนั้น เท่านั้นแหละ! "
"อ๋อ ฝีมือของหลวงพ่ออีกละซี !" ทิดหวั่นพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แล้วหันไปพูดกับเทิด "ไอ้พวกตัดเศียรพระ มันต้องมาเจอกะหลวงพ่อหยั่งงี้ถึงจะดี หลวงพ่อจับมาหลายคนหลายหนแล้ว ไอ้ใครที่โดนจะเข็ดไปสิบชาติเชียว ไอ้พวกนี้ยังไม่รู้ฤทธิ์"
"แล้ว.......แล้วมันจะอยู่ยังงี้อีกนานเท่าไร ?" เทิดสงสัย
"จนกว่าหลวงพ่อจะครองผ้าออกบิณฑบาต พอหลวงพ่อออกโปรดสัตว์เท่านั้นแหละ" แล้วทิดหวั่นก็หันมาทางดอน "เอ้า พระของเอ็ง นี่เสื้อกางเกงเอาไปซะ แหม เอ็งเอ๊ย พอพวกเอ็งหลุดออกมา มันตีกันสนามมวยแทบจะแตก เล่นกันตั้งสิบหนึ่งยี่สิบหนึ่ง มันจะเอาที่ไหนมาให้กัน อ้อ แล้วนี่" ทิดหวั่นล้วงกระเป๋ากางเกง งัดธนบัตรออกมาปึกเบ้อเริ่ม "ข้าอญุ่ตื้อคอยเอาเงินรางวัลของเอ็งมาจนได้ ถึงได้มาช้าไป ทีแรกไอ้นายสนามทำท่าจะเบี้ยวกะข้าเหมือนกัน ถึงได้มาช้าไป แต่พอรู้ ข้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคงก็แทบจะกราบข้าซะเชียว ฮ่า ฮ่า กาญจนบุรี ใครไม่รู้จักหลวงพ่อคงก็เกินไปละ จริงไหม หลวงพ่อ ?"
"เอ็งเอาชื่อข้าไปเบ่งรึ ทิดหวั่น ?"
"ปละเปล่า.....หลวงพ่อ ธ่อ ก็พวกมันนั่นแหละ มันจำผมได้ ก็คนถือย่ามเดินตามหลวงพ่อตั้งแต่เล้กจนโต หรือจนทุกวันนี้น่ะ ก็ไอ้หวั่นคนนี้คนเดียวแหละ ไอ้ดอนมันยังทิ้งหลวงพ่อไปตั้งหลายปี มันสะกิดกันพักเดียวรีบจ่ายมือไม้สั่นเลย แล้วไอ้พวกนี้หลวงพ่อจะให้ทำไงล่ะนี่นะ ?"
"ก็หน้าที่เอ็งน่ะซีทิด ไปบอกกำนันเขามา อ้อ เดี๋ยวพวกเอ็งช่วยทำให้มันนอนลงไปในท่าที่สบายๆ กว่านี่หน่อยเถอะ เดี๋ยวเมื่อยตาย ถึงข้าจะบาปเพราะทรมานพวกมัน สะกดมัน แต่คิดถึงบาปที่พวกมันจะทำแก่ศาสนา ข้าก็ต้องยอมบาป ข้าทำได้แค่นี้ดีถมไปแล้ว กรุณาแก่มันเหลือเกินแล้ว ข้าจะกลับถ้ำก่อนละ"
แล้วหลวงพ่อคงก็ออกเดินดุ่มๆ ไปไม่เหลียวมามองอีก
เทิดจุ๊ย์ปากจิ๊กจั๊ก
"หลวงพ่อไอ้ดอนนี่ยอดจริงๆ ว่ะ กู้ยังสงสัยว่านี่กูฝันไปหรือเปล่าวะ ?"
"นั่นซี" กริ่งสนับสนุนขึ้นมาบ้าง ตลอดเวลาเขาได้แต่ตะลึงไปเหมือนกัน "ท่านสาปได้จริงๆ รึวะไอ้ดอน ?"
"เออ ก็หยั่งที่มึงเห็นนี่แหละ กูยังโดนเลย"
"โดนยังไง"
"หมามันมาเลียสำรับ กูกำลังยกตีนเตะ หลวงพ่อตวาดคำเดียว กูยืนยกขาค้างอยู่ยังงั้นตั้งชั่วโมงกว่าท่านจะมาคลาย พอรู้สึกตัวมึงเอ๋ย ระบมไปทั้งตัวเชียว ไปเฮ้ย ช่วยกันอุ้มมันลงนอนดีกว่า"
ทุกคนหันกลับไปทางคนร้ายที่ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งๆ ที่ตาลืมโพลง กริ่งกับเทิดยังไม่หายประหลาดใจ แต่ดอนกับทิดหวั่นดูไม่รู้สึกอะไร เทิดตรงไปที่ไอ้คนงอตัวก้มหลังถือใบเลื่อย ดึงไหล่ของมันให้ยืดตัวขึ้นแต่ไม่สำเร็จ แข็งเหมือนรูปปั้น เหมือนท่อนไม้ พอเขยื้อยเข้าก็อนล้มลงทั้งแท่ง ประดองมันลงไปนอนแล้ว มันก็นอนอยู่ในท่าคุ้มหลังอย่างนั้น ทิดหวั่นยกเท้ายันเบาๆ ร่างของไอ้คนที่อยู่ในท่าวิ่งก็ล้มครืนลงไป แขนขากางอยู่อย่างเดิม
กริ่งกระซิบถามดอนเบาๆ ได้ยินกันเพียงสองคน
"มึงได้ไว้รึเปล่าวะ ไอ้ดอน ?"
"อะไร ?"
"คาถาสาปนี่น่ะ !"
"ไม่มีหวังหรอกว่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัว กูได้ท่ากระดานนี่มาองค์เดียวเท่านั้น"
"ท่านจะให้มึงไหมวะ ?"
ดอนผลักไอ้คนที่ยืนผงะเพราะจะชนบานประตูพิงเข้ากับผนังโบสถ์ กริ่งช่วยประคองให้มันนอนราบลง ไอ้คนนี้ลำบากกว่าเพื่อน แขนกางคอหงาย วางท่าไรก็ไม่สนิทลงกับพื้น เลยปล่อยเลยตามเลย
"ถ้าหลวงพ่อจะให้อะไรใคร ไม่ต้องขอ อยู่ๆ เรียกไปให้เอง แต่คาถานี้หยั่งกูหยั่งมึงไม่มีหวังว่ะ เรารักษาไม่ได้หรอก ท่านเคยบอกกับกูว่า คาถาน่ะมีสามคำเท่านั้น แต่ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดี ท่องสิบปีก็ไม่ขลัง มึงอย่าสนเลยวะ ไปเหอะ ไปนอนกันดีกว่า ทิดหวั่นอย่าลืมไปบอกกำนันนะ ฉันจะไปนอนก่อนละ จะสว่างอยู่แล้ว"
"เออ ไปกันเถอะ เดี๋ยวข้าปิดประตูโบสถ์เอง"
************************************************
เทิด ยอดธง
กริ่ง คลองตะเคียน และ
ดอน ท่ากระดาน
สามสิงห์ร้ายแห่งขบวนการเสาร์ห้า ทิ้งเหตุการณ์สุดแสนประหลาดไว้เบื้องหลัง ขณะจับรถโดยสารตรงไปยังจังหวัดพิษณุโลก ที่อยู่ของเสาร์สี่ หรือ ยอด นางพญา
ลงรถที่ตัวเมืองแล้วต่อรถยนต์เล็กเหมาทั้งคันไปยังอำเภอนครไทย
จะว่าเหมาเสียทีเดียวก็ไม่ถูกนัก นอกจากสามพระหน่อนี่แล้ว ยังมีผู้โดยสารพิเศษอีกคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวในชุดเดินทาง ที่เทิดจำได้ว่าหล่อนโดยสารมารถคันเดียวกับเขา แต่ไม่แน่ใจว่าขึ้นมาจากที่ไหน ลงรถพร้อมกัน เขาเห็นหล่อนเคว้งคว้างหารถอยู่เหมือนกัน เมื่อเขาเรียกรถคันนี้มา หล่อนก็เข้ามาถาม เมื่อรู้ว่าเขาจะเหมามา หล่อนก็ขอโดยสารมาด้วย ใบหน้าสวยเข้ม ผูกผ้าโพกศีรษะทะมัดทะแมง เชิ้ตสีแดงวาวผูกรวบไว้ที่เอว กางเกงยีนเนื้อหนารับรูปทรง และกระเป๋าเดินทางใบย่อม เท่านั้น เท่าที่สามหนุ่มรู้ แล้วก็ดูท่าจะไม่สนใจเสียทีเดียวก็ไม่เชิง ไม่ใช่พระอิฐพระปูนมาจากไหน ดังนั้น แม้ว่าจะคุยกันไปร้อยแปดพันเรื่อง เผลอๆ ก็อดชำเลืองสายตาไปยังเจ้าหล่อนผู้เงียบขรึมและนั่งห่างออกไปเสียมิได้
"คิดว่าจะเจอหัวมันไหมวะ เทิด ?" กริ่งตั้งข้อกังขาขึ้นมา ตายังเผลอจับอยู่ที่สะโพกกลมกลึง
"ที่มาก็คิดว่าต้องเจอไว้ก่อน"
"แล้วถ้าไม่เจอ มึงจะทำยังไง เรามีเวลาเพียงห้าวัน เจ็ดวันหมดกะไอ้ดอนไปสองวัน ห้าวันเราก็จะต้องนึกถึงไอ้เดี่ยวด้วย ?"
"เทิด แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้เดี่ยวอยู่ที่ไหน ?" ดอนถามขึ้นบ้าง
เทิดเพียงแต่พยักหน้า อย่างน้อยที่สุดในที่นี้ก็มีคนอื่นอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ "คนอื่น" ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจการสนทนาของพวกเขา สายตาของหล่อนเพ่งไปตรงหน้าที่แสงไฟสูงหน้ารถจับจ้าไปตามถนนคดเคี้ยว กริ่งกับดอนเห็นท่าทีของเทิดก็เข้าใจพลอยเงียบไปด้วย
"คุณจะไปนครไทยทำไมครับ ?" กริ่งตะโกนแข่งกับเสียงครางของเครื่องยนต์
หญิงสาวหันกลับมา มองมาทางเทิดแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วตอบว่า
"ไปหาคุณพ่อค่ะ คุณพ่ออยู่ที่นครไทย"
"ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงล่วงเกินแต่ประการใด" ดอนเอื้อนเอ่ยออกมาเชยๆ "คุณพ่อคุณทำอะไรอยู่ที่นั่นครับ ข้าราชการ พ่อค้า ขายขวด...."
"ไอ้บ้า !" เทิดยกมะเหงกล่อกระบาลดอนเต็มเหนี่ยว
ดอนสูดปากลั่น
"อูย.....ไอ้หอก สะกิดค่อยๆ หน่อยก็ไม่ได้"
หญิงสาวหัวเราะคิกออกมา ไม่มีท่าทางถือโกรธ
"ถ้าบอกว่าขายขวดล่ะคะ ?" เสียงของหล่อนหวานนนัก เทิดรู้สึกอย่างนั้น
"ผมก็ไม่เชื่อน่ะซีครับ"
"อ้าว แล้วงั้นถามทำไมล่ะคะ ?"
"ธ่อ...." ดอนทำเสียงออด "ก็ไอ้เทิดเขาอยากรู้"
เทิดเงื้อมืออีก คราวนี้ดอนก้มหลบอย่างว่องไว เทิดเหลียวไปพบตาคมปลาบก็ยิ้มแห้งๆ
"คุณพ่อเป็นผู้จัดการป่าไม้ที่นี่ค่ะ"
"แล้ว...มาถึงกลางคืนอย่างนี้ ไม่มีใครมาคอยรับหรือครับ ?"
"ดิฉันกำลังสงสัยอยู่เหมือนกันค่ะ ปกติต้องมีรถมารับ ส่วนมากคุณพ่อออกมารับเอง บางทีก็ให้คนงานมา บางที......."
ทันทีรถเบรคสนั่น ทุกคนเบนสายตาไปข้างหน้า รถจี๊ปคันหนึ่งจอดขวางจังก้าอยู่กลางถนนตรงเลี้ยวแคบ
เทิด กริ่งและดอนขนลุกซู่ขึ้นมาราวกับนัดกัน สังหรณ์อันเคยชินวูบเข้ามาในสำนึก
รถยนต์ที่โดยสารมาหยุดได้ห่างเพียงสิบเมตร หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือล้วงปืนออกมาอย่างว่องไว
เทิดโจนเข้าไปหาคนขับ กระซิบข้างหูรวดเร็ว
"ดับเครื่อง ดับไฟ แล้วหมอบลง คุณเอาปืนมาให้ผมเถอะ" พูดจบก็ตะปบมือฉกเอาปืนมาถือไว้อย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างหญิงสาวนอนราบลงกับพื้นรถ ขณะเดียวกับที่สองเสือกริ่งกับดอนกลิ้งตัวหล่นวูบลงไปทางท้ายรถ แล้วคืบศอกปราดลงไปในคูเล็กๆ ข้างถนน
ทุกสิ่งตกอยู่ในความสงัด แต่เป็นความสงัดที่น่ากลัว เพราะไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร
เทิดพุ่งตัวออกจากท้ายรถ
ทันใดนั้นเอง ประกายไฟก็แวบจากสองข้างทางพร้อมเสียงระเบิดกึก้อง กระสุนเจาะพื้นถนนลูกรังฟุ้งกระจายใกล้ร่างของเทิดถี่ยิบ เทิดกลิ้งตัวอย่างรวดเร็วหล่นลงไปบนคอต่อของดอน
"เฮ้ย ซุ่มซ่ามจริงไอ้นี่ !" ดอนกระซิบด่าอู้อี้
"มึงเอาอะไรมามั่ง ?" เทิดกระซิบถามร้อนรน
"น้อยหน่าสี่ !" ดอนตอบเร็วสั้น
"ไอ้กริ่งล่ะ ?"
"เห่าหนึ่ง ลูกสามสิบ" กริ่งซึ่งหมอบอยู่ใกล้ๆ ตอบแผ่ว มือขวากำเห่าไฟกระชับพร้อม
"ถุย" เทิดสบถออกมา "กูคนเดียวเสือกเอามาแต่ไม้จิ้มฟันมา"
"แล้วนั่นมึงเอาปืนที่ไหนมา ?"
"กูจิ๊กแม่นั่นมาเดี๋ยวนี้เอง เฮ้ย หมอบ มันกราดไฟฉายมาแล้ว"
สภาพของคูเล็กๆ นั้น ไม่ผิดอะไรกับสนามเพลาะ ทั้งสามหมอบจนคางจรดดิน ไฟฉายเดินทางสว่างจ้าไม่น้อยกว่าสามดวงจับนิ่งอยู่ที่รถ นอกนั้นฉายกราดวนเวียนอยู่ตรงที่สามเสือหมอบอยู่ เสียงปืนสงบไปแล้ว แต่เสียงที่ดังขึ้นแทนคือเสียงสวบสาบก้าวลุยหญ้าออกมาที่รถ
มันเป็นการปล้นธรรมดาของถนนเปลี่ยวแสนเปลี่ยว ซึ่งพวกปล้นเชื่อว่าคงไม่มีการขัดขวางต่อสู้
แต่คนร้ายก็มีไม่ต่ำกว่าสิบคน และอาวุธปืนอย่างน้อยก็ครบมือ
เทิดเกิดความรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวขึ้นมา เขาตัดสินใจเก็บไฟฉายสามดวงที่จับอยู่ที่รถก่อน เพื่อเบนความสนใจของพวกมันมาที่เขา ซึ่งบัดนี้สมบูรณ์ด้วยเขี้ยวเล็บพอที่จะเขมือบเหล่าร้ายได้ไม่ยากนัก
"ใครอยู่ในรถลงมาซะดีๆ " เสียงพวกมันคนหนึ่งประกาศขึ้น พร้อมกับพวกมันเกือบทั้งหมดพ้นแนวป่าละเมาะออกมาบ้างแล้ว
"ปัง ๆ ๆ " เทิดยิงอย่างรวดเร็ว
เท่านั้นเอง ราวป่าแทบจะแตก ไฟฉายทุกดวงดับวูบลง เสียงร้องพร้องเสียงปืนแผดถี่ยิบ กริ่งนอนหงายยิงทางฝั่งชิดคู เทิดหมอบคว่ำยิงไปทางฝั่งตรงข้าม
"จะเอาน้อยหน่าให้มันแดกได้หรือยัง ?" เสียงดอนถามขัดจังหวะขึ้น
"ยัง มึงนอนนับดาวเล่นไปก่อนเหอะ แค่นี้เรื่องเล็ก เฮ้ย ไอ้กริ่ง แยกกัน มึงวิ่งขึ้นไปข้างหน้า กูจะย้อนหลังลงไป" กริ่งคลานศอกปราดๆ ไปเหมือนงูเลื้อย หยุดแล้วยิงเป็นระยะๆ ห่างออกไป
"กูล่ะ ?" ดอนถาม
"มึงเห็นหัวปลวกนั่นไหม ?" เทิดชี้ไปที่หัวปลวกที่เห็นตะคุ่มอยู่ทางขวามือ
"เห็น"
"มึงจะแจกน้อยหน่าก็แจกไป ตรงนั้นกูว่าไม่ต่ำกว่าสาม !" แล้วเทิดก็ค้อมตัววิ่งจากไป
"อ๋าย สบายมาก !" ดอนปลดระเบิดมือออกมาจากเอวลูกหนึ่ง กระเดาะอยู่ในมือสองสามทีและกระชากสบักออกกำนิ่งไว้ในอุ้งมือนิดหนึ่งแล้วเหยียดแขนตรง เหวี่ยงหวืออกไปด้วยท่าทีที่คิดว่าโสภาเสียเต็มประดา
"บึม ! ! "
เปลวไฟสีส้มสว่างจ้าจนสามารถมองเห็นจอมปลวกแตกกระจุยปลิวว่อนพร้อมชิ้นส่วนมนุษย์ในแบบหัวไปทาง ไส้ไปทาง วิบเดียวกันนั้น เทิดกับกริ่งก็อาศัยแสงจากระเบิดมือกวาดได้อีกไม่ต่ำกว่าสี่
มันยุติลงอย่างง่ายดาย จะเหลือรอดไปบ้างก็คงขี้ขึ้นไปอยู่บนหัวขมอง แหกป่าหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ปล้นมาตั้งหลายที ใครจะไปรู้ว่าอีทีนี้ผู้โดยสารรถเล็กๆ จะเสือกเล่นระเบิดมือ
เทิดรอจนแน่ใจว่าปราศจากภัยใดๆ อีกแล้ว ก็กู่เสียงนกขึ้นด้วยรหัสเรียกเสาร์สองและเสาร์สาม
เสียงเสาร์สองหรือกริ่งกู่ตอบทวนรหัสมา แต่เสียงเสาร์สามไม่ตอบ
เทิดกู่ซ้ำอีก เงียบ
เทิดสงสัย กริ่งอยู่ไกลกว่า ดอนอยู่เป็นจุดกลางระหว่างการแยกตัวของเขากับกริ่ง ทำไมถึงไม่ตอบ หรือมันเป็นอะไรไป ? เท่านั้นเอง เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนวิ่งย้อนกลับลงมา พร้อมตะโกนเรียกดอนเต็มเสียง
ในความมืดข้างหน้า เทิดเห็นร่างๆ หนึ่ง ก้มๆ เงยๆ อยู่กับร่างอีกร่างหนึ่งซึ่งนอนเหยียดยาวบนขอบถนนไม่ห่างจากจุดที่ดอนนอนอยู่เมื่อกี้นัก
เสาร์ห้า ...ตอนที่ ๔....กำเนิดเสาร์ห้า
วันที่ 16 มิ.ย. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,218 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,149 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,135 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 63,499 ครั้ง |
เปิดอ่าน 28,995 ครั้ง |
เปิดอ่าน 20,210 ครั้ง |
เปิดอ่าน 26,990 ครั้ง |
เปิดอ่าน 31,070 ครั้ง |
|
|