ปัจจุบันภาวะเศรษกิจอยู่ในภาวะตกต่ำ มีผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป โรงงานทะยอยปลดคนงาน เนื่องจากไม่สามารถส่งสินค้าไปยังต่างประเทศได้ เพราะแต่ละประเทศก็ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจภายในเช่นกัน ข้าวของก็มีราคาแพง การงานก็หายาก
เมื่อประชาชนไม่มีงานทำ ไม่มีเงินที่จะมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ท้องกำลังหิวอยู่ทุกนาที ความหิวบังคับ การลักเล็กขโมยน้อย จนถึงต้องมีการปล้นจี้ก็จะต้องเกิดขึ้นเป็นเงาตามต้อง เพราะไม่มีใครในโลกนี้คงจะยอมตายเพราะ .... ความอดอยากเป็นแน่... ปัญหาอาชญากรรมจึงมีไม่เว้นแต่ละวัน ประชาชนผู้สุจริตจึงอยู่อย่างหวาดผวา เพราะไม่รู้ว่า ...เมื่อไหร่จะถึงคิวเรา
คืนวันหนึ่ง นายโชคดี ได้ไปทานอาหารที่ร้านสามพี่น้อง หลังจากรับประทานอาหารเรียบรอ้ยแล้ว จึงขับรถจักรยานยนต์กลับที่พัก ขณะขับรถมาเป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร สังเกตุเห็นมีคนขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมา 1 คัน จึงชะลอความเร็ว เพื่อให้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวขับแซงหน้าไป
แต่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไม่ยอมแซงและเบียดมาทางด้านขวามือของผู้เสียหาย และคนซ้อนท้ายได้ใช้เท้า(มหาภัย)ถีบรถจักรยายนต์ของผู้เสียหาย 3 ครั้ง จนเสียหลักล้มลง
หลังจากนั้น ได้มีชายคนหนึ่งลงจากรถจักรยานยนต์เดินมาแล้วจับให้นอนหงาย แล้วใช้เท้าเหยียบที่อก นายโชคดีเห็นหน้า ก็จำได้ว่าคือ คนที่พูดคุยด้วยที่ร้านอาหาร
“เอามีดมา จะฆ่าให้ตาย “ ชายคนดังกล่าวได้พูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน
“มีเงินเท่าไร่ เอามาให้หมด ไม่งั้นตาย “ ชายดังกล่าวได้พูดขึ้น พร้อมกับล้วงเอาซองบัตรประจำตัวประชาชนที่กระเป่าเสื้อออกมา แล้วเอาเงินไปจำนวน 300 บาท
“ ห้ามแจ้งตำรวจ ถ้าไม่เชื่อจะไม่ไว้ชีวิต จำไว้” ชา ยทั้งสองคนดังกล่าวได้พูดขู่ แล้วจากไป
หลังจากนั้น นายโชคดีจึงเดินซมซานไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร และแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจทราบ
เช้าวันรุ่งขึ้น ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวน ได้ขอหมายจับต่อศาลและจับชายทั้ง 2 คน พร้อมด้วยรถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน ของกลางมาสอบสวน พร้อมกับให้นายโชคดีมาชี้ตัวชายทั้งสองยืนยันการกระทำความผิด
ชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาว่า ร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด ผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการ พื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย
พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งฟ้องและยื่นฟ้องผุ้ต้องหาทั้งสองต่อศาล จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง และให้คืนเงิน 300 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 กับไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่ให้คืนเงินแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลฏีกาเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เท้าถีบรถจักรยานยนต์คันที่ผู้เสียหายกำลังขับจนเสียหลักล้มลง แล้วใช้เท้าเหยียบอกผู้เสียหาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ ยึดถือทรัพย์นั้นไว้ เพื่อให้พ้นการจับกุม โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์
รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงให้ริบตามกฎหมาย พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น (คำพิพากษาศาลฎีกา 4566/2551)
ความผิดฐานชิงทรัพย์ มีองค์ประกอบดังนี้
1.ลักทรัพย์
2. โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้น จะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
- ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือ พาทรัพย์นั้นไป
- ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
- ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
- ให้พ้นจากการจับกุม
ความผิดฐานชิงทรัพย์ ก็คือ การลักทรัพย์ซึ่งมีเหตุฉกรรจ์อย่างหนึ่ง ทำนองเดียวกับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ กรณีจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ จะต้องมีองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ครบถ้วน ถ้าไม่มีการลักทรัพย์ หรือพยายามลักทรัพย์ ก็จะมีความผิดฐานชิงทรัพย์ไม่ได้
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า เท้ามีไว้สำหรับเดินไป - มา ในการดำรงชีวิต ไปทำงาน ไปทำความดี และป้องกันตัว แต่หากใช้เท้าผิดที่ เท้าดี ๆ กลายเป็นเท้ามหาภัย