ถามว่า... นี่เป็นค่านิยมใคร ? นี่เป็นความเชื่อของใคร ?
คำตอบก็พุ่งเป้าสู่ “ผู้ปกครอง”
ซึ่งแม้การคาดหวังต่อบุตรหลานในลักษณะนี้จะมิใช่เรื่องผิด แต่หากเป็นการคาดหวังที่สูงมากเกินไปจนเกิดเป็นการ “กดดันบุตรหลาน” โดยไม่รู้ว่าเด็กยินยอมพร้อมใจอย่างมีความสุขหรือไม่ ? หรือรู้สึกว่าต้องจำใจเรียนเพราะถูกบังคับจากค่านิยมของผู้ปกครอง เด็กก็ต้องแบกความเชื่อมั่นของผู้ปกครองเอาไว้บนบ่าอย่างสุดหนักอึ้ง !!
ทำให้ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “โรคสมองบวม”
“เบื่อ-เครียด-ทุกข์” เพราะค่านิยมผู้ปกครอง ?!?
กับเรื่องนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ขยายความและแจกแจงผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ปัจจุบันนี้มีเด็กนักเรียนไทย ยกเว้นอนุบาล และประถมศึกษา เป็นโรคไม่ชอบไปโรงเรียน เป็นโรคเบื่อโรงเรียนจำนวนไม่น้อย เพราะมีทัศนคติต่อการเรียนที่ไม่ดี ขณะที่ปรากฏการณ์การกวดวิชาอาจทำให้คุณค่าการเรียนในห้องเรียนลดลง
“เด็กไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกแบบงั้น ๆ
ไปโรงเรียนเพียงเพื่อให้จบไปวัน ๆ เท่านั้นเอง”
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเด็กฯ บอกอีกว่า... “ปรากฏการณ์โรงเรียนเด็กในเมือง มีความรุนแรง มีสภาพสังคมน่าเบื่อมาก น่าเป็นห่วงจริง ๆ ทั้งที่โรงเรียนควรเป็นสถานที่เปิด มีความสนุกสนาน เด็กไปโรงเรียน แล้วได้ไปหาสังคม ไปหาเพื่อน แต่กลับกลายเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อหน่าย”
และเมื่อโฟกัสที่การเรียนตามหลักสูตร รศ.ดร.สมพงษ์ ก็บอกว่า... เนื้อหาหลักสูตรของการเรียนทุกวันนี้ โดยรวม ๆ มี 8 กลุ่ม 8 สาระวิชา, 20 วิชาเรียน, 67 มาตรฐาน นักเรียนจะเรียนวันละ 6-7 คาบ ใช้เวลาเรียนคาบละ 35 นาที และเรียนสัปดาห์ละ 35 คาบ แถมยังต้องเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน หรือเรียนในวันหยุดอีกด้วย
“เรียกว่าเรียนกันเต็มเหยียด เรียกว่าเรียนจนสมองบวม”
นอกจากนี้ เนื้อหาที่สอนก็เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะระดับ “มัธยมศึกษา” มีการเรียน-การเร่งเนื้อหากันจนเกินระดับสมองของเด็ก “เน้นเรียนก่อนรู้ก่อนเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ จนกลายเป็นค่านิยม”
“โรคสมองบวมที่ว่านี้ ทำให้เด็กนักเรียนไทยระดับมัธยมศึกษา ชั้น ม.1-ม.2 ต้องออกจากระบบไปกลางคันถึงประมาณ 400,000 คนแล้ว” ...รศ.ดร.สมพงษ์ระบุ
พร้อมทั้งบอกต่อไปว่า... เรื่องของการปฏิรูปการศึกษาในประเทศต่าง ๆ นั้น ประเทศมาเลเซีย ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น จัดเป็นประเทศที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีการปฏิรูปการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ส่วนประเทศไทยที่พูดถึงเรื่องปฏิรูปการศึกษามานานแล้ว แต่ยังติดกลุ่มประเทศที่ปฏิรูปได้แย่อยู่
ทั้งนี้ เด็กนักเรียนไทยเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด เรื่อง “สมองบวม” นั้นมีผลการทดสอบไอคิวเด็กออกมา โดยบางคนก่อนเรียนไอคิว 110 แต่พอเรียน ๆ ไปแล้วกลับเหลือ 97-100 จนกลายเป็น “ยิ่งเรียนยิ่งโง่”
“การเรียนเพื่อการแข่งขันของเด็กไทยนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับอนุบาลฯ เพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนดี ๆ ได้ ซึ่งโหดร้ายต่อเด็กมาก เด็กบางคนกวดวิชากันเป็นปี ๆ เด็กจึงสมองบวมเกินวัย เพราะทั้งใส่-ทั้งอัดเนื้อหาวิชากันเกินวัย ทำให้การเรียนไม่สนุกสำหรับเด็ก
โรงเรียนกวดวิชาที่ทะลักออกมาทั่วประเทศ นี่ก็เป็นอีกดัชนี ที่ชี้ว่าการปฏิรูปการศึกษาของเรายังผิดทิศผิดทาง เกิดจากค่านิยมที่ผิดเพี้ยนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งปัญหานี้เป็นสิทธิเด็กอย่างหนึ่ง ที่เด็ก ต้องได้รับการคุ้มครองไม่ให้เกิดปัญหา”
...ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเด็กฯ ระบุ
อาจไม่ใช่เด็กนักเรียนไทยส่วนใหญ่...ที่ต้องเผชิญปัญหานี้
แต่ต่อให้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น...ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนใจ
ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องใส่ใจ
ว่าเป็น “พ่อแม่รังแกลูกด้วยการเรียน” หรือเปล่า ???
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ ขอบคุณครับ
กับ อ. น้อง narongsak@eduzones.com