อัสสัมชัญ มาจากคำคำเต็มในภาษาอังกฤษว่า Assumption of Mary หมายถึงการรับการอัญเชิญขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระนางมารีย์ ในศาสนจักรโรมันคาทอลิกเชื่อตามพระคัมภีร์ว่า พระนางมารีย์ผู้นิรมลประชวรและได้สิ้นพระชนม์ลง บรรดาอัครสาวกจึงได้ฝังพระศพไว้ในคูหาแห่งหนึ่ง แต่เมื่อศิษย์ (อัครสาวก)ได้กลับไปดูพระศพอีกครั้งก็พบว่าคูหาว่างเปล่าเหมือนคูหาของพระเยซู และพระนางได้สละชีวิตบนโลกนี้โดยได้รับการอัญเชิญเข้าสวรรค์โดยทั้งกายและวิญญาณ และตรงกับวันที่ 15 สิงหาคมของทุกปี ข้อความเชื่อข้อนี้เป็นข้อกำหนดที่ไม่อาจผิดพลาดได้ และถูกกำหนดขึ้นมาโดยพระสันตะปาปา ปิอัส ที่ 12 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1950
ประวัติที่มา
เรื่องแนวคิดอัสสัมชัญมีที่มาย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ช่วงศตวรรษต้น ๆ ของศาสนจักร ซึ่งหลักฐานเก่าแก่ที่สุดพบได้จากบทบรรยายที่เรียกว่า Liber Requiei Mariae (หนังสือว่าด้วยเรื่องการพักผ่อนของพระแม่มารีย์) เช่นเดียวกับหนังสือหลักฐานอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ เชื่อกันว่าพระนางได้ทรงสิ้นพระชนม์ในเขตเยรูซาเล็ม โดยมีนักบุญโทมัสเป็นประจักษ์พยานในการเห็นพระนางได้รับการยกขึ้นสวรรค์จากสุสานของพระนาง โดยไม่เหลือร่างกายทิ้งไว้บนโลกด้วย คือขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ (assumption) นั่นเอง ซึ่งในภายหลัง ข้อความเชื่อข้อนี้ก็ได้รับการยอมรับในศาสนจักรคาทอลิกว่าเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจผิดพลาดได้ และเป็นข้อความเชื่อที่คริสตศาสนิกชนคาทอลิกทุกคนยอมรับว่าเป็นความจริง
มีหลักฐานว่า คริสตชนให้ความเคารพและวอนขอพระนางพรหมจารีมารีย์มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว เพราะพระนางคือ "พระมารดาของพระเจ้า" หรือในภาษากรีกว่า Theotokos ถึงกระนั้นการเฉลิมฉลองพระนางในฐานะ Theotokos อย่างเป็นทางการในพิธีกรรมของพระศาสนจักรในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ดูเหมือนจะเริ่มขึ้นราวศตวรรษที่ 5 ที่กรุงเยรูซาเล็ม ณ สถานที่แห่งหนึ่งระหว่างทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปเมืองเบธเลเฮม ซึ่งตำนานโบราณเล่าว่า เป็นสถานที่พระนางมารีย์หยุดพัก ระหว่างการเดินทางไปเบธเลเฮมเพื่อคลอดพระเยซูเจ้า
คำภาษากรีกที่ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้คือคำว่า koimesis (การบรรทม) มีความหมาย 2 อย่างซึ่งอาจหมายถึงการนอนหลับพักผ่อนทั่วๆไป หรือการนอนหลับพักผ่อนตลอดไปเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้ ต่อมาราวปลายศตวรรษที่ 5 นั้นเองคริสตชนยังฉลอง koimesis (หรือที่ภาษาลาตินใช้ว่า "dormitio") นี้ที่ใกล้ๆสวนเกธเสมนี ที่นี่มีพระวิหารซึ่งกล่าวกันว่าเป็นที่ฝังพระศพของพระนางมารีย์ การเฉลิมฉลองนี้จึงได้ชื่อว่า Dormitio Mariae หรือ "การบรรทมของพระนางมารีย์" เพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์และการเข้าสวรรค์อย่างรุ่งเรืองของพระนาง "การบรรทม" หรือการสิ้นพระชนม์ของพระนางจึงเป็นการเริ่มชีวิตนิรันดรอันรุ่งเรืองในสวรรค์ พระศาสนจักรเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ เช่นเดียวกับที่เฉลิมฉลองวันตายของบรรดานักบุญมรณสักขี ซึ่งเป็น "วันบังเกิดใหม่" (Dies natalis) ของท่านในชีวิตนิรันดรนั่นเอง เพียงแต่เราก็ไม่ทราบว่าพระนางสิ้นพระชนม์อย่างไรและเมื่อไรเท่านั้น ต่อมาราวปลายศตวรรษที่ 6 พระจักรพรรดิโมริส (539-602) ทรงประกาศพระราชกฤษฏีกา ให้เฉลิมฉลองการบรรทมของพระนางมารีย์นี้ทั่วจักรวรรดิโรมันตะวันออก
ส่วนทางตะวันตกหรือในยุโรป วันฉลองนี้ก็มีวิวัฒนาการคล้ายๆกัน ในศตวรรษที่ 6 ที่กรุงโรมมีวันฉลองเป็นเกียรติแด่พระนางมารีย์อยู่แล้วในวันที่ 1 มกราคม เพื่อระลึกถึงการที่พระนางเป็นพระมารดาของพระเยซูคริสตเจ้า ราวปี ค.ศ. 650 พระศาสนจักรที่กรุงโรมยังรับการฉลองในวันที่ 15 สิงหาคมนี้จากพระศาสนจักรตะวันออกเข้ามาด้วย เพื่อเฉลิมฉลองการที่พระนางพรหมจารีได้รับเกียรติสูงสุดจากพระเจ้า และการฉลองนี้ได้รับชื่อว่า "Dormitio Mariae" (การบรรทมของพระนางมารีย์)
ในสมณสมัยของพระสันตะปาปา Sergius (687-702) ซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวซีเรีย ในศตวรรษต่อมา คือราวปี ค.ศ. 770 วันฉลองนี้ได้ชื่อใหม่ว่า "Assumptio" ซึ่งแปลว่า "การรับขึ้นไป" เพื่อเน้น "วิธีการ" ที่พระนางพรหมจารีจากโลกนี้ไปรับเกียรติรุ่งเรืองจากพระเจ้า อันที่จริงความคิดเรื่อง "การรับขึ้นไป" (หรือ Assumptio) นี้เป็นความคิดจากพระคัมภีร์โดยตรง ในพันธสัญญาเดิมประกาศกเอลียาห์ "ถูกรับขึ้นไป"จากโลกนี้โดยรถเพลิง (2 พกษ 2) ธรรมประเพณีของชาวยิวก็กล่าวว่าโมเสส "ถูกพระเจ้ารับขึ้นไป" เช่นเดียวกัน
ความสำคัญของ อัสสัมชัญ ในคำสอนของคาทอลิก
ลูดวิก อ็อต ได้อธิบายในข้อความเชื่อพื้นฐานของคาทอลิกไว้ว่า “ข้อเท็จจริงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระนางได้รับการยอมรับโดยพระสงฆ์และนักเทวศาสตร์ทั้งหลาย และข้อความเชื่อนี้ก็ได้ถูกแสดงออกมาผ่านศาสนพิธีของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งนอกจากเขาจะสรุปข้อคิดเห็นสนับสนุนอื่น ๆ แล้ว เขายังเสริมด้วยว่า
“สำหรับพระนางมารีย์แล้ว พระนางได้รับการปลดเปลื้องจากบาปกำเนิดและบาปของตน ดังนั้นความตายที่เกิดกับพระนางจึงไม่ใช่บทลงโทษจากบาปความผิด หากแต่เป็นสิ่งที่สมควรเกิดกับร่างกายของพระนางตามธรรมชาติ คือเป็นร่างเนื้อหนังที่รู้ตาย เสื่อมสลายได้ ดังนั้นความตายของพระนางจึงเป็นการปลดปล่อยพระนางตามกฎของธรรมชาติ เพื่อให้พระนางได้ไปอยู่ร่วมกับพระบุตรสุดที่รักของพระนางในสวรรค์นั่นเอง” แต่เรื่องของความตายที่เกิดกับพระนางยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าความตายเกิดกับพระนางจริงหรือไม่ คือพระนางสิ้นพระชนม์และได้รับการยกขึ้นสวรรค์ หรือพระนางไม่ได้เสียชีวิตลงเลยแต่แรก หากแต่ได้รับการยกขึ้นสวรรค์เลยกันแน่ ซึ่งข้อความเชื่ออัสสัมชัญ ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าพระนางผ่านประสบการณ์ของความตายทางกายหรือไม่ หากแต่ยืนยันอย่างแน่นอนว่าพระนางได้รับการยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณจริง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วิกิพิเดียไทย
วัดเเม่พระเมืองลูรด์ บางเเสน
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต