“ ผลไม้สุกแล้ว ก็หวั่นแต่จะต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลาฉันใด
สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วก็หวั่นแต่จะตายอยู่ตลอดเวลาฉันนั้น “ พระพุทธพจน์(อมฤตพจนา)
วันนี้มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ กรณีผู้ปกครองเด็กเป็นโจทก์ยื่นฟ้องการรถไฟต่อศาล เรียกค่าเสียหายที่รถไฟดีเซลรางขบวนด่วนพิเศษชนรถโดยสารนักเรียน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน ๙ คน และบาดเจ็บจำนวน ๓๒ คน เป็นจำนวนเงิน ๕๔ ล้านบาท จึงขอเสนอคดีที่เป็นกรณีคล้ายคลึงกัน เพื่อเป็นคติเตือนใจ ดังนี้
ข้อเท็จจริงมีว่า เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ เวลากลางวัน จำเลยได้ขับรถยนต์ปิคอัพ มีผู้โดยสารเต็มคันรถไปตามถนนมิตรภาพมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถนนช่วงดังกล่าวตัดผ่านทางรถไฟ และมีป้ายติดตั้งป้ายเตือนว่า...หยุด ระวัง ! รถไฟ... เป็นทางรถไฟ จำเลยจะต้องระมัดระวัง
เมื่อจะขับรถยนต์ผ่านทางรถไฟโดยลดความเร็วของรถลง หรือหยุดรถและดูให้ดีเสียก่อนว่า มีรถไฟกำลังจะแล่นผ่านทางรถไฟหรือไม่ หากมีก็ต้องหยุดรถยนต์รอให้รถไฟผ่านพ้นไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วค่อยขับรถยนต์ผ่านทางรถไฟไป
แต่จำเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังแต่อย่างใดไม่ ยังขับรถยนต์ต่อไปด้วยความเร็วสูงผ่านทางรถไฟโดยมิได้คำนึงว่าจะมีรถไฟผ่านมาในขณะนั้นหรือไม่
ปรากฎว่า ขณะนั้นมีรถไฟขบวนรถเร็วจากจังหวัดนครราชสีมา มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร กำลังจะผ่านบริเวณตัดผ่านทางรถไฟ เป็นเหตุให้รถไฟขบวนดังกล่าวพุ่งชนรถยนต์กระบะของจำเลยอย่างแรง เป็นเหตุให้ผู้โดยสารมากับรถยนต์ถึงแก่ความตายจำนวน ๓ คน ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน ๒ คน และได้รับอันตรายแก่กายจำนวน ๔ คน
พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วส่งสำนวนต่อพนักงานอัยการ และพิจารณาสั่งฟ้องจำเลยในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตาย และยื่นฟ้องต่อศาล
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง ให้จำคุก ๔ ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยขอให้ศาลฏีกาลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้
กรณีศาลฏีกาพิพากษาไว้ตอนหนึ่งว่า .... การที่จำเลยขับรถยนต์ผ่านทางรถไฟซึ่งมีการติดตั้งเครื่องหมายจราจรเตือนไว้ โดยมิได้ลดความเร็วของรถและหยุดรถรอคอยจนกว่ารถไฟผ่านพ้นไป เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไป จนเป็นเหตุให้รถยนต์ถูกรถไฟที่แล่นผ่านมาพุ่งเข้าชนได้รับความเสียหาย และมีผู้โดยสารในรถยนต์ดังกล่าวถึงแก่ความตาย ๓ คน ได้รับอันตรายสาหัส ๒ คน และได้รับอันตรายแก่กาย ๔ คน
การกระทำของจำเลยเป็นการขับรถด้วยความประมาท จงใจฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารมากับรถยนต์ นับว่าก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมากเป็นการประมาทอย่างร้ายแรง
แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กับมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวและได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทุกคนจนเป็นที่พอใจไม่ติดใจเอาความอีก ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
แต่เมื่อจำเลยได้บรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทุกคนแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ลงโทษจำคุก ๔ ปี ก่อนลดโทษนั้นเห็นว่าหนักเกินไป จึงพิพากษาเป็นว่าให้ลงโทษจำคุก ๓ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน...(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๒๒๗/๒๕๕๐)
...บนเส้นทางทุกย่างก้าวของชีวิต มีอันตรายอยู่ทุกฝีก้าว การมีสติ ใช้ความระมัดระวัง และไม่ประมาทอยู่เสมอ จะทำให้ชีวิตไม่ต้องประสบชะตากรรมดังกล่าว...ควรระวัง!!!