คำแนะนำ : สนานจิตต์ บางสพาน เป็นนามปากกาของนักวิจารณ์บันเทิงชื่อดังในอดีต ปัจจุบันพลิกบทบาทตัวไปเป็น “ผู้กำกับการแสดง” สร้างภาพยนตร์ไทยให้นักวิจารณ์รุ่นน้อง “ถอนหงอก”มาแล้วหลายเรื่อง ขณะนี้มีบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ในมือ เตรียมสร้างอีก 2 เรื่อง.. ระหว่างนี้ เขาจะกลับมาเขียนเรื่องราวจากชีวิตจริง บอกเล่าให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้ที่นี่ ทุกวันศุกร์ / บรรณาธิการบริหาร
หรือคนรุ่นเราสมควรจะถูก “ถอนหงอก”
สนานจิตต์ บางสพาน
เปิดเทอมแล้วครับ
หวังว่า พ่อแม่ทั้งหลายคงจะสามารถประคับประคองฟันฝ่าผ่านภาวะต้องวิ่งหาทั้ง “ที่เรียน” และเงินเพื่อมาจ่ายค่าเทอม ค่าอุปกรณ์การศึกษาสารพัดตั้งแต่หัวจรดเท้า ค่าหนังสือตำรา และอุปกรณ์ประกอบอีกสารพัด
สนจ. ก็อยู่ในรุ่นผลัดสามคูณร้อยกับเขาเหมือนกัน เพราะดันมีไอ้ตัวเล็กตอนแก่ แถมใจจริงอยากมีแค่สองหน่อ แต่พระเจ้าแกล้งเล่นเสียอย่างนั้นแหละ ส่งฝาแฝดมาให้คู่หนึ่ง เบ็ดเสร็จมันก็เลยกลายเป็นสาม…ฮา
เปิดเทอมทีก็หน้าเขียว รากเลือด กันแหละครับ เพราะต้องวิ่งผลัดสามคูณหมื่น….ฮา
และสารภาพบาปกันตรง ๆ ว่า ทุกวันนี้ สนจ. ไม่รู้และไม่เข้าใจ “ระบบการศึกษา” พื้นฐานของเมืองไทยที่ใช้ ๆ กันอยู่เลยครับ นอกเหนือไปจากวิชาบางวิชา ที่แค่เด็กอนุบาลหรือเด็กประถมก็มีให้เรียนกันแล้ว อาทิ “วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต”
ก็ได้แต่ งง ๆ ว่า นี่มันวิชาตะวักตะบวยอะไรกัน เด็กวัยประถมมันจะต้องไปสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตอะไร นอกจากผู้ปกครองและโรงเรียนจะต้องจัดให้เขาได้
กิน ให้อิ่มและครบถ้วนตามมาตรฐานทางโภชนาการเท่าที่จะทำได้
เรียน ความรู้ให้เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการทางสมองและอารมณ์
เล่น ตามวัย ประสาและสภาพแวดล้อมตลอดจนพื้นฐานของครอบครัวและสถานะทางการเงิน
สุดท้ายก็คือ นอน…
สนจ. คิดเอาง่าย ๆ แค่นั้นแหละ ขนาดว่า สนจ. เรียนครูมานะนี่
สมัย สนจ. อายุเข้าเกณฑ์บังคับของรัฐฯต้องไปโรงเรียนคือ 7 ปี ส่วนก่อนหน้านั้นก็แล้วแต่จะมีสตางค์หรือไม่มี ถ้าที่บ้านมีก็ไปหาเรียนอนุบาลเอา ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องเรียน วิ่งเล่นหน้ามอมแมมอยู่ละแวกบ้านนั่นแหละ
เรียนประถมต้นก็ 4 ปี จบป.4 ก็ไปสอบเข้าต่อ ป.5 เรียนจนจบ ป.7 ก็ต้องไปต่อมัธยมหรือ มศ. 1 พอจบ มศ.3 ทีนี้ก็มาถึงทางสามแพร่ง คือจะแยกไปเรียนอะไร ไปทางสายอาชีพก็ต้องไปเข้าอาชีวะ ถ้าจะเข้ามหาลัย ก็ต้องไปต่อระดับเตรียมอุดมศึกษา หรือ ม.7 และ ม.8 หรือถ้าอยากใส่เครื่องแบบ ก็ต้องไปเข้า “เตรียมทหาร” อีกสองปี ก่อนจะไปแยกเหล่าเรียนกันอีก 4 – 5 ปี
แต่มายุคลูก ๆของ สนจ.มันมี ป.1- 6 เสร็จแล้วก็จะกลายเป็น ม.1- 3 แล้วก็ต้องไปต่อ ม.4 – 6 จากนั้นจึงจะไป “สอบเข้ามหาลัย”
ซึ่งสรุปแล้วมันก็ไอ้ 12 ปีเท่ากัน แต่ถึงวันนี้ สนจ. ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า เขาเปลี่ยนไปทำไม เปลี่ยนแล้วมันทำให้ “ลูกๆ “ ของ สนจ. รู้จัก “คิดและตัดสินใจ”ด้วยตัวเองหรือเปล่า ?…..ฮา
เพราะ คนรุ่น สนจ. มันล้วนแล้วแต่ “ล้มเหลว” ในเรื่องการ “คิดและตัดสินใจ” ด้วยตัวเอง จากระบบการศึกษาในอดีต
ผลก็คือไอ้ที่มันเละเทะกันเห็น ๆ ทุกวันนี้ไง ก็ขนาดจะ “ยึดประเทศนี้” ยังต้องไปพึง มาร์กซ เหมา เลนิน เลย แทนที่จะพึ่ง ทักษิณ… อ้าว ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้มีคนบอกว่าพวกทักษิณเป็นคอมเป็นซ้าย….ฮา
สมัยเป็นเด็กก่อนจะมามีอาชีพเป็นคนเขียนหนังสือ สนจ. เรียนโรงเรียนหลวงมาตลอด สอบเข้าได้เองมาตลอดเหมือนกัน ยกเว้นเข้าม.ปลาย ดันกำแหง เป็นไอ้ตูดบ้านนอก แต่สะเออะไปสอบเข้าเตรียมอุดมสมัยยังมีคลองอรชร ก็เรียบร้อยสิ. ไม่ใช่อะไรสมัยโน้นอยากเข้า อักษรจุฬา หรือไม่ก็นิเทศ วารสาร พอสอบเข้าไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยพี่ชายไปใช้เส้น โรงพิมพ์ ที่เขาพิมพ์ตำราให้โรงเรียนไปฝากเป็น หนูทดลองยา เพราะกลายเป็น เด็กมอแปดแผนกวิทยาศาสตร์รุ่นแรกของ โรงเรียนวัดน้อยใน ในคลองบางกอกน้อย
จำได้ว่า สอบม.ปลายได้แค่ 47% กว่า ๆ ต้องเรียนซ้ำชั้นใหม่อีกปี แต่ดันสอบเข้ามหาลัยติด พอสอบม.ปลายผ่านได้มา 53% ดันไม่ติดมหาลัยไหนสักแห่ง….ฮา
แต่ก็ดีแล้วที่เข้าไม่ได้ เพราะถ้าได้ก็อาจจะไม่ได้ทำหนังสือพิมพ์และเขียนหนังสือ….ฮา
แต่มาสมัยลูก ๆ สนจ. กลับหันหลังให้กับโรงเรียนของรัฐฯ
เพราะดันไปหลงเสน่ห์ของโรงเรียนเอกชน หรือ โรงเรียนราษฏร์แห่งหนึ่ง ที่เขาสอนให้เด็กเรียนเพื่อให้รู้ เรียนเพื่อให้ดำเนินชีวิตให้อยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้อง “แข่งขันเพื่อเอาชนะ” ไม่ต้องรู้ว่ากูสอบได้ที่เท่าไหร่ ที่สำคัญเขาเน้นให้เด็กทุกคนมี “คุณภาพทางอารมณ์”พอ ๆ กับ การมี “คุณภาพทางสมอง”
ใครอยากรู้ชื่อโรงเรียนที่ว่านี้ ถามมาได้แล้ว สนจ. จะกระซิบบอกให้
และเชื่อหรือไม่ว่า ถึงวันนี้ สนจ. ยัง “ไม่รู้” และ”ไม่เข้าใจ” ไอ้เรื่อง โอเน็ต เอเน็ต อยู่จนแล้วจนรอดว่ามันคืออะไร และทำไมมันถึงได้ “มีปัญหา” ให้ผู้ปกครองและเด็ก ต้อง “ฟ้องร้อง” และ “ร้องเรียน” กันอยู่ได้ทุกปี
กะว่าอีกสามปีค่อยว่ากัน รอให้ไอ้คนโตของ สนจ. จบ ม.6 เสียก่อน ถึงตอนนั้นก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า “ระบบการศึกษา” ของเยาวชนคนรุ่นนี้ของเมืองไทย จะโดน “นักการศึกษาและนักวิชาการ” ปู้ยี่ปู้ยำไปอีกเท่าไหร่
แต่ที่แน่ ๆ ทำไมระบบการเรียนการสอนสมัยนี้มันถึงไม่เหมือนสมัย สนจ. ไม่ต้องมาบอกหรอกเรื่อง ยุคสมัย วันเวลา การเปลี่ยนแปลง สนจ.รู้ แต่ สนจ.ว่า เด็กสมัยนี้ อ่านหนังสือไม่แตก สะกดตัวหนังไม่แม่น ลายมือห่วย ที่สำคัญมีหลายสิ่งหลายอย่างที่โรงเรียนสมัยนี้เลิกกันไป ตั้งแต่บทอาขยานในแบบ พ่อหลีพี่หนูหล่อ หรือ เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา หรือ แสนสงสารนันทาผู้น่ารัก หรือ ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
สมัย สนจ.เองน่ะโคตรเบื่อที่จะต้องท่อง แต่พอเรากลายเป็นพ่อเป็นแม่ เรากลับรู้สึกว่า คนโบราณเขาฉลาดและโคตรจะ “เนียน”ในการย่อยหรือสลาย หรือที่เขาเรียกกว่า ซิมพลีฟลาย ให้เรื่องยาก ๆ มันกลายเป็นเรื่องง่ายต่อการจำและทำ “ความเข้าใจ”
เหมือนการเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนจบเพื่อออกไปทำมาหากิน ซึ่งสมัยนี้ สนจ.รู้สึกว่า มันยุ่งยากและเป็นเรื่องเชิงซ้อนจน ผู้ปกครองและเด็ก “สับสนและประสาทแดก” กันถ้วนหน้า
ทำไมมันไม่ง่าย ๆ เหมือนสมัย สนจ. เรียนมัธยม เตรียมอุดม แล้วก็เข้ามหาลัย
ไม่เห็นมันจะมีปัญหาอะไร กับยุค ธีรยุทธ บุญมี สอบได้ที่ 1 แห่งประเทศไทย
แต่พอลองไปนั่งไล่เรียงบรรดา “ผู้บริหาร” นักวิชาการ นักการศึกษา ที่มีบทบาทอยู่ในแวดวงการศึกษาของคนรุ่นนี้
ไอ้ที่เขียนมาทั้งหมด กลายเป็นว่า สนจ. กำลังนั่ง “ถอนหงอก” คนรุ่นเดียวกันเองเข้าเต็มเปา ก็ขนาด รมต.ศึกษา มันก็คนเขียนการ์ตูนรุ่นน้อง สนจ.ที่ “สยามรัฐฯ”
แต่คิดถึงที..ถ้าไม่อคติ คนรุ่น สนจ.ก็สมควรถูก “ถอนหงอก”จริง ๆ.
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง:
- ...คิดอย่นานเหมือนกันว่าจะPost บทความนี้ดีหรือไม่ แต่คนเราก็ควรอยู่กับความจริงบ้าง...เลิกฝันกันได้บ้างแล้ว....อ่านแล้วได้ใจมากมาย -โปรดรับความชื่นชมจากใจ....ครูติ๋ว