ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

มันมากับความเงียบ


เรื่องราวจากสมาชิก เปิดอ่าน : 6,430 ครั้ง
มันมากับความเงียบ

Advertisement

มันมากับความเงียบ "โรคกระดูกพรุน" เร่งสะสม "แคลเซียม"ก่อนสายเกินแก้!!! (สกู๊ปแนวหน้า)
คุณทราบหรือไม่ว่า...

"โรคกระดูกพรุน" (Osteoporosis) คือมฤตยูร้าย ที่กำลังคุกคามชาวโลกอย่างเงียบเชียบ

จากข้อมูลของ "องค์การอนามัยโลก" (WHO) บ่งชี้ว่ามีผู้คนมากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกมีชีวิตอยู่ด้วยความทรมาน จากความพิการและความเจ็บปวดจากโรคกระดูกพรุน

มฤตยูเงียบชนิดนี้กลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด โดยโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิง 1 ใน 3 ที่มีช่วงอายุระหว่าง 60-70 ปี และ 2 ใน 3 ของผู้มีอายุมากกว่า 80 ปี และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ โฟกัสเข้ามาที่ทวีปเอเชีย องค์การอนามัยโลก คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ.2050 จะมีคนเอเชียป่วยด้วยโรคกระดูกพรุนสูงถึง 50% ของจำนวนประชากรในโลก !!!

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย พบว่ามีแนวโน้มผู้เป็นโรคกระดูกพรุนเพิ่มมากขึ้น คาดว่าในวันนี้มีคนไทยมากกว่า 2.25 ล้านคนต้องทนทุกข์กับมฤตยูเงียบดังกล่าว

ด้วยเหตุที่ โรคกระดูกพรุน ถูกจัดอันดับให้เป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการอาการผิดปกติใดๆ ในระยะเริ่มแรกก่อนจะแผลงฤทธิ์ให้รู้ตัวก็ต่อเมื่อกระดูกผุจนเกินเยียวยา การบอกกล่าวให้ความรู้เกี่ยวกับ โรคกระดูกพรุน จึงเป็นหนทางช่วยให้ผู้คนอีกมากมายไหวตัวรอดพ้นจากมฤตยูเงียบดังกล่าว...

ในร่างกายคนเรามีกระดูกชิ้นเล็ก-ใหญ่มากมายถึง 206 ชิ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ...

"กระดูกแกน"(Axial skeleton) และ "กระดูกรยางค์" (Appendicularskeleton) โดยกระดูกแกนอยู่บริเวณกลางลำตัวทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่อวัยวะภายในและช่วยพยุงร่างกายได้แก่กระดูกขากรรไกร,สันหลัง, ซี่โครงฯ

ส่วนกระดูกรยางค์เป็นกระดูกที่ใช้ในการเคลื่อนไหวได้แก่ กระดูกสะบ้า-ไหปลาร้า,กระดูกแขนขา-เชิงกราน, ก้นกบ,กระดูกข้อมือ,ข้อเท้า, ฯ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า โรคกระดูกพรุน เป็นโรคที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูกซึ่งมีผลทำให้กระดูกไม่สามารถจะรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้ตามปกติ ซึ่งภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดอาการ...

"กระดูกหัก"

โดยปกติกระดูกคน เราประกอบด้วยสารอินทรีย์ชื่อ "คอลลาเจน" (จากโปรตีน) ซึ่งจะก่อตัวเป็นฐานให้สารอนินทรีย์เช่น แคลเซียมฟอสเฟต มาตกผลึกจับตัวกับคอลลาเจน จนแปรสภาพกลายเป็นของแข็งที่สามารถรับน้ำหนักและมีความยืดหยุ่นในตัวเอง

เมื่อมองลึกลงไปถึงระดับเซลล์จะพบว่า กระดูกประกอบด้วยเซลล์หลัก 2 ชนิดคือ "เซลล์ที่เป็นตัวสร้างกระดูก"( Osteoblast) และ"เซลล์ที่ทำหน้าที่สลายกระดูก"(Osteoclast) เพราะกระดูกของเราไม่ได้อยู่ในลักษณะนิ่งๆเหมือน การก่อกำแพงแต่จะเป็นลักษณะแบบไดนามิกคือ มีการเคลื่อนไหวถ่ายเท มีการสร้างขึ้นใหม่และสลายของเดิมกันไปอยู่ตลอดเวลา

ช่วงที่มีการสะสมของแคลเซียม มากที่สุดจะอยู่ในช่วงเด็ก ที่กำลังเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ คือ ประมาณอายุ 14 ปีในเด็กผู้หญิง และประมาณ 16 ปีในเด็กชาย หลังจากหยุดสูงแล้วกระดูกยังมีการหนาตัวได้อีกเล็กน้อยจนถึงช่วงอายุประมาณ 30 ปี และจะคงที่อยู่สักระยะหนึ่งแล้วจึงจะเริ่มมีการสูญเสียเนื้อกระดูกไปเรื่อยๆ ปีละ 0.5-1% ต่อปีทั้งหญิงและชาย

ทว่าประเด็นที่สำคัญคือเมื่อกระดูกเริ่มบางลง เรา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากมีอาการแค่ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หากไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอกระดูกสลายเรื่อยๆ !!!

จากผลการศึกษาพบว่า แต่ละช่วงวัยมีการสูญเสียมวลกระดูกไม่เท่ากัน ผู้หญิงก่อนหมดประจำเดือนจะมีการสูญเสียมวลกระดูกสันหลังอัตราร้อยละ 1 ต่อปี และเพิ่มเป็นร้อยละ 3 ต่อปี หลังหมดประจำเดือน หากไม่ได้รับฮอร์โมนเสริมจะมีการสูญเสียถึงร้อยละ 20 ของปริมาณรวมที่จะต้องสูญเสียตลอดชีวิต หลังหมดประจำเดือน 5-7 ปี และก่อนอายุ 80 ปี ความหนาแน่นของกระดูกจะลดลงมากกว่าร้อยละ 47 ของมวลกระดูกทั้งหมด

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เมื่อมองจากภายนอก กระดูกคนเรายังแยกได้อีก 2 แบบ คือ "แบบท่อนยาว" (cortical bone) และ"แบบท่อนแบน" (cancell ous bone) โดยจะมีการสูญเสียของเนื้อกระดูกที่แตกต่างกัน โดยที่กระดูกท่อนแบน จะมีการสูญเสียของเนื้อกระดูกก่อนและรวดเร็วกว่าแบบกระดูกท่อนยาว เมื่อความหนาแน่นลดลงจนถึงระดับหนึ่งจะเกิดการทรุดตัวได้แม้ในขณะที่กำลังทำงานบ้านอยู่

ส่วนกระดูกท่อนยาวนั้น มักไม่มีการทรุดตัวแต่มักจะหักเมื่อเกิดแรงกระแทกเข้ามาซึ่งแรงกระแทกอาจไม่จำเป็นต้องรุนแรงนัก เช่น อาจเกิดกระดูกต้นขาหักจาก การล้มลงในระดับยืน การเซถลาไปปะทะกำแพง เป็นต้น

ข้อมูลข้างต้นจะช่วยให้มองเห็นสถานภาพรวมของกระดูกในร่างกาย ตั้งแต่เกิดจนถึงวัยสูง อายุ...

ในช่วงเด็กจะมีการสร้างมากกว่าการทำลาย ในช่วงกลางคนการสร้างและการทำลายจะพอ ดีกันและการทำลายของกระดูกจะมีมากกว่าเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าผู้สูงอายุทุกคนจะต้องเกิดกระดูกสันหลังทรุดหรือกระดูกหักทุก ราย ตัวแปรสำคัญอยู่ที่การสะสมของเนื้อกระดูกไว้ตั้งแต่ในช่วงเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสะสมของกระดูกสูงสุด เพราะเมื่อมีการสูญเสียเนื้อกระดูกเพิ่มขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือนไปก็ยังมีความหนาแน่นของกระดูกในเกณฑ์ปกติได้ ซึ่งจะต่างกับรายที่ไม่ได้มีการสะสมของกระดูกไว้ในวัยเด็ก เนื้อกระดูกก็อาจจะลดลงจนถึงระดับที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

สำหรับปัจจัยที่มีผลทำให้การสะสมของเนื้อกระดูกได้ไม่ดีนั้น มีหลากหลายปัจจัยไม่ว่าจะมาจากพันธุกรรม ,รับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนและมีรสชาติเค็มจัด, ดื่มกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวัน ,สูบบุหรี่ ,ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ,ไม่ออกกำลังกาย ,ขาดแคลเซียมเป็นเวลานาน ฯ

จากปัจจัยต่างๆข้างต้นนี้ บางปัจจัยมีผลต่อช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่บางปัจจัยก็มีผลต่อการก่อให้เกิดโรคได้ตลอดชีวิต เช่น พันธุกรรม จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดว่าแต่ละคนจะมีมวลกระดูกสูงสุดได้เท่าใด หนทางหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุน ควรเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้ เด็กๆ เริ่มจาก

การออกกำลังกาย ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูก การรับประทานอาหาร ครบ 5 หมู่ ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ประกอบด้วยนมและผลิตภัณฑ์นม ปลาตัวเล็ก ถั่วเหลือง ผักใบเขียว โดยเฉพาะนมควรเริ่มดื่มตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อเสริมสร้างกระดูกให้มีความแข็งแรง

ส่วนในผู้ใหญ่-ผู้สูงอายุควรดื่มนมที่มีไขมันต่ำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเนื้อกระดูก บำรุงกระดูกให้แข็งแรงแต่เนิ่นๆ เพื่อรับมือกับมฤตยูเงียบนามว่า...

โรคกระดูกพรุน"

SCOOP@NAEWNA.COM
วันที่ 22/5/2009

โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 1756 วันที่ 27 พ.ค. 2552


มันมากับความเงียบ มันมากับความเงียบ

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ความรู้พื้นบ้าน

ความรู้พื้นบ้าน


เปิดอ่าน 6,442 ครั้ง
ภาพสื่อการสอน...ดอกไม้ไทย

ภาพสื่อการสอน...ดอกไม้ไทย


เปิดอ่าน 6,436 ครั้ง
มะเร็ง

มะเร็ง


เปิดอ่าน 6,433 ครั้ง
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ

ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ


เปิดอ่าน 6,432 ครั้ง
 Tip.....   Burnning Text จาก PHOTOSHOP

Tip..... Burnning Text จาก PHOTOSHOP


เปิดอ่าน 6,423 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

พระนอนสมัยทวารวดี...ยังมีอยู่

พระนอนสมัยทวารวดี...ยังมีอยู่

เปิดอ่าน 6,454 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
7  พึชผักผลไม้ .... ที่มีผลโดยตรงต่อผู้หญิง
7 พึชผักผลไม้ .... ที่มีผลโดยตรงต่อผู้หญิง
เปิดอ่าน 6,441 ☕ คลิกอ่านเลย

มุมที่ไม่ได้มอง
มุมที่ไม่ได้มอง
เปิดอ่าน 6,438 ☕ คลิกอ่านเลย

จดหมายจากลูกสาวถึงพ่อ
จดหมายจากลูกสาวถึงพ่อ
เปิดอ่าน 6,435 ☕ คลิกอ่านเลย

20 ไอเดียง่ายๆ ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี
20 ไอเดียง่ายๆ ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี
เปิดอ่าน 6,438 ☕ คลิกอ่านเลย

ดีไอวาย 5 ปัญหาสุดฮ็อตในบ้าน ก่อนตาม"ช่าง"มาซ่อมด่วน
ดีไอวาย 5 ปัญหาสุดฮ็อตในบ้าน ก่อนตาม"ช่าง"มาซ่อมด่วน
เปิดอ่าน 6,425 ☕ คลิกอ่านเลย

 ที่มาของกระเป๋าหนังงู
ที่มาของกระเป๋าหนังงู
เปิดอ่าน 6,428 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

การใช้คลังข้อสอบมาตรฐาน (Standardize ltem Bank System : SIBS) เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)
การใช้คลังข้อสอบมาตรฐาน (Standardize ltem Bank System : SIBS) เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET)
เปิดอ่าน 2,956 ครั้ง

อาหารต้านสารก่อมะเร็งที่พบบ่อยในธรรมชาติ
อาหารต้านสารก่อมะเร็งที่พบบ่อยในธรรมชาติ
เปิดอ่าน 14,302 ครั้ง

"แก่นตะวัน" สมุนไพรที่คนไทยควรรู้จักพืชเพื่อสุขภาพ-เป็นพลังงานทดแทน
"แก่นตะวัน" สมุนไพรที่คนไทยควรรู้จักพืชเพื่อสุขภาพ-เป็นพลังงานทดแทน
เปิดอ่าน 17,454 ครั้ง

ฟุตซอล
ฟุตซอล
เปิดอ่าน 27,404 ครั้ง

กินวิตามินอย่างไรให้ได้ประโยชน์
กินวิตามินอย่างไรให้ได้ประโยชน์
เปิดอ่าน 15,124 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ