ปัจจุบันปัญหาความอ้วน ไม่ได้เพียงแค่เป็นปัญหาต่อสาวๆ ที่อยากใส่ชุดสวยหรอกนะคะ แต่มันถือเป็นภัยคุกคามระดับโลก เป็นอันตรายต่อชีวิต ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น เข่าเสื่อม, ไขมันในเลือดสูง, เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก, เบาหวาน จนถึงโรคมะเร็ง ดังนั้นเราจึงมักจะได้ยินได้อ่านถึงหนทางการลดความอ้วนมากมาย
วันนี้เราก็มีอีกหนึ่งวิธีใหม่มาบอก จากการเปิดตัวหนังสือของ อ.รุ่งเรือง คลองบางลอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนักและดูแลรูปร่าง เจ้าของพ็อกเกตบุ๊ค "กินอย่างที่ชอบก็ผอมได้" โดยระบุว่ารูปร่างต่างกัน การรับประทานอาหารก็ต้องต่างกัน ถ้าอยากให้สวยและผอม
1.รูปร่างผอม (Thin) มีไขมันสะสมน้อย แต่อาจแฝงด้วยภาวะคอเลสเตอรอลสูง หรือไขมันสะสมเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ และแบ่งมื้ออาหารเป็น 4-5 มื้อ เพื่อเพิ่มการดูดซึมสารอาหารเพียงพอต่อวัน เน้นอาหารที่ย่อยง่ายและพลังงานสูง แต่ไขมันปานกลาง เช่น ข้าวกล้องผสมข้าวขาว เนื้อปลา
2.ผอมและมีกล้ามเนื้อ (Thin and Muscular) ระบบเผาผลาญสูง แต่ดูดซึมน้อย ไม่เหลือเป็นไขมันสะสม ควรเน้นโปรตีนจากเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ธัญพืชต่างๆ และกระตุ้นการดูดซึมสารอาหาร ด้วยจมูกข้าว ผลไม้รสเปรี้ยว อย่างส้ม แอปเปิ้ลเขียว เป็นต้น
3.มีกล้ามเนื้อมาก (Very Muscular) ร่างกายมีมัดกล้ามเนื้อมาก มีไขมันเหลือสะสมน้อยมาก ควรทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น โปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง สันในหมูและเนื้อวัว ไข่ ควรมีผักผลไม้ทุกมื้อ ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร และนมไขมันต่ำไฮแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
4.มาตรฐาน (Standard) การรักษารูปร่างให้คงที่ ต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ มีความหลากหลาย ไม่ทานซ้ำๆ เพื่อลดการสะสมของสารตกค้าง เลือกทานข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีท นอนหลับอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะการนอนน้อยมีผลให้ฮอร์โมนเลปตินลดต่ำลง ซึ่งมีส่วนในการควบคุมความอยากอาหาร และน้ำหนักตัว ผลคือทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น
5.มาตรฐานและมีกล้ามเนื้อ (Standard Muscular) มีมวลกล้ามเนื้อสูง เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้หมด ไม่เก็บสะสมเป็นไขมัน ควรทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ หรืออาหารที่เสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น ปลา ไก่ไม่ติดหนัง ควรทานหมูสันในหรือเนื้อสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือมังสวิรัติสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
6.ออกกำลังกายน้อย (Under Exercise) ระบบเผาผลาญต่ำ ถึงจะทานอาหารน้อย แต่ก็ยังมีการสะสมของไขมันตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหน้าท้อง สะโพก และต้นขา ควรทานอาหารไขมันต่ำ แต่มีโปรตีนสูงในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ไก่ไม่ติดหนัง ปลา ไข่ และนมไขมันต่ำเป็นประจำทุกเช้า คนลักษณะนี้มีโอกาสอ้วนได้ง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
7.อ้วนซ่อนรูป (Hidden Obese) ระดับการเผาผลาญต่ำกว่าปกติ เกิดเซลลูไลท์หรืออ้วนง่าย ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท โปรตีนจากเต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ระหว่างวันให้ทานถั่วเป็นอาหารว่าง ไม่เกิน 20 เม็ด/วัน (ยกเว้นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่ควรทาน) เพื่อกระตุ้นร่างกายให้มีการเผาผลาญมากขึ้น เลี่ยงอาหารรสเค็มและหวานจัด ที่ทำให้เกิดการบวมน้ำ
8.อ้วน (Obese) ระดับการเผาผลาญสูงในช่วงเช้า และค่อยๆ ลดต่ำลงในช่วงเย็น ควรทานอาหารไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา เต้าหู้ น้ำพริกผักลวก ก๋วยเตี๋ยวน้ำ แกงจืด แกงส้ม ต้มยำ ยำต่างๆ ส่วนผลไม้เน้นที่มีน้ำเยอะไม่หวานมาก และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการทานอาหารเช้าทุกวัน และลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง อาจดื่มน้ำก่อนและเคี้ยวให้ช้าลง
9.อ้วนร่างใหญ่ (Solidly Built) อ้วนมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจึงมีโครงร่างใหญ่ ในขณะที่การเผาผลาญต่ำ ควรทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ประเภทธัญพืช ถั่ว ผักที่มีสีเข้ม เช่น บล็อกโคลี กะหล่ำปลีม่วง บีทรูท คะน้า ผักโขม แครอท หรือพืชตระกูลเบอรี่ เช่น ราสพ์เบอรี่ สตรอเบอรี่ อาหารเส้นใยสูง เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นบุก โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำและย่อยง่าย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทานอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น
เอาล่ะค่ะ ต่อไปนี้ใครคิดจะกินอะไรหรือลดน้ำหนัก ก็เริ่มจากพิจารณารูปร่างตัวเองก่อนนะคะ หรือถ้าไม่แน่ใจก็ปรึกษาอาวียองซ์ช็อปทุกสาขาก็ได้เหมือนกันค่ะ.
ที่มา ไทยโพสต์ / 24 พ.ค.52