เคยจำได้ไหมว่าปีหนึ่งๆ คุณโกรธใครไปบ้าง และคุณโกรธบ่อยแค่ไหน แต่จริงๆแล้ว ความโกรธใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าจดจำ ถ้าให้ดีที่สุดความไม่โกรธนั้นคือลาภอันประเสริฐสุด
เนื่องจากในวงการสุขภาพถือว่าความโกรธคือบ่อเกิดแห่งโรคร้าย ทั้งโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า โรคความดันโลหิตสูง และยิ่งถ้าใครมีความเครียดสะสม โกรธง่ายหน่ายเร็วตั้งแต่วัยหนุ่มสาว จะเกิดแนวโน้มเป็นโรคหัวใจในวัยกลางคนได้ เพราะอารมณ์โกรธกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวเร็วและแรงขึ้นซ้ำร้ายอาจกลายเป็นคนขาดความมีชีวิตชีวา ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายผันแปร ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติชีวิตจึงขาดความสุขไปโดยปริยาย
เพราะฉะนั้น เรามาดับไฟโกรธเพื่อชีวิตที่สดใสกันดีกว่า
เริ่มต้นด้วยทำความเข้าใจกับความต้องการของตัวเองให้ถ่องแท้เสียก่อน พร้อมทั้งหาทางให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการด้วยสันติวิธีโดยไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากนั้นควรแสดงออกซึ่งความโกรธหรือความไม่พอใจในวิถีทางที่ถูกต้องเหมาะสมดีกว่าระบายอารมณ์ด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
หากเมื่อไหร่ที่อารมณ์โกรธกำลังพลุ่งพล่านขึ้น ต้องรีบระงับไว้โดยเร็ว พยายามหยุดยั้งความคิดที่มารบกวนจิตใจทันที แล้วมองหาหรือคิดถึงเรื่องที่ชื่นรื่นรมย์แทน เช่น ถ้ากำลังโกรธใครสักคนอยู่ คุณอาจเบี่ยงความสนใจไปถึงงานอดิเรกที่ชอบทำ หนังที่ชอบดู เพลงที่ชอบฟัง แต่ถ้าดีกว่านั้นก็คิดถึงคนรักคนรู้ใจ โลกสีชมพูที่เบ่งบานในหัวใจ หรือบางคนใช้ความสงบนิ่งเสหมือนเป็นน้ำเย็นเข้าราดรดดับไฟโกรธ หรือจะลองฝึกสมาธิ ฝึกเล่นโยคะก็ได้ ถ้าเวลามีมากพอ และการเดินทางท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ ไปสัมผัสทัศนียภาพธรรมชาติบ้าง ก็เป็นการผ่อนคลายความรู้สึกอันตรึงเครียดจากชีวิตประจำวันและจากหน้าที่การงาน
ทว่าคำแนะนำเหล่านี้ บางทีก็ฟังว่าทำง่ายแต่ทำยาก เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่โกรธขึ้นมาแล้วสุดระงับได้ในบัดนั้น จงเดินออกจากเหตุภาวะที่เคร่งเครียดนั้นก่อนโดยละม่อม(แหมละม่อมนี่เก่งจัง จับผู้ร้ายก็เก่งฮิฮิ)ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ที่รุนแรงออกมา เมื่อจิตใจเย็นลงแล้วจึงค่อยเดินกลับเข้าไปสู้กับปัญหาด้วยความสงบและสันติวิธี
ยังไม่สายเกินไป ขอเอาใจช่วยทุกคนให้มีสติต่อการดับไฟโกรธ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือสกุลไทย