Advertisement
เรื่องสั่น น่าอ่าน ป้าสมใจกับป้าสมจิต
ป้าสมใจเป็นหญิงอ้วนในวัยห้าสิบแปด ป้าสมจิตเป็นหญิงผอมในวัยห้าสิบเก้า
ป้าสมใจจะมีลูกชายสองและลูกสาวหนึ่ง ส่วนป้าสมจิตไม่มีลูก
สามีของป้าทั้งสองเป็นข้าราชการครูในตำแหน่งเดียวกันคืออาจารย์สองระดับเจ็ด เพียงแต่อยู่กันคนละโรงเรียน
ป้าสมใจชอบคุยเรื่องลูกทั้งสามทั้งนอกและในห้องเรียน
ก่อความรำคาญตลอดจนหน่ายเซ็งและเหม็นเบื่อทั้งในหมู่ครูและนักเรียน ส่วนใหญ่ที่ได้รับฟัง
ป้าสมใจไม่สนใจปฏิกิริยาของใคร ยามแกตัดฉากของลูกแต่ละคนมาออกอากาศไม่ว่าต่อหน้าเพื่อนครูหรือนักเรียน แกไม่ชอบมองหน้าคู่สนทนา มักมองข้ามหัวข้ามไหล่ไปทางอื่น น้อยครั้งที่ จะแลสบตาใคร
อาจเนื่องด้วยเหตุนี้ แกจึงไม่ค่อยเห็นสีหน้าแสดงอาการรำคาญหรือหน่ายเซ็งของคู่สนทนา แต่ผู้สันทัดกรณีหลายคน ยืนยันว่า แกรู้ดีถึงปฏิกิริยาทั้งหลายของผู้คนยามแกยกประเด็นเรื่องลูกขึ้นตัดต่อ หมายให้ผู้ชมผู้ฟังชื่นชม แต่แกแกล้งไม่สนใจ จึงเมินมองไปทางอื่นเสีย
ป้าสมใจเป็นคนเสียงดังฟังชัด มีพรสวรรค์ในการใช้สุ้มเสียงตลอดจนท่าทางและสีหน้า ประกอบการเล่าแต่ละฉาก นักฟังหน้าใหม่จึงรู้สึกครื้นเครงราวกับดูเกมส์โชว์ในจอทีวี
จุดเด่นอีกประการหนึ่งของแกคือ การเป็นคนอยากรู้อยากเห็นสารพันเรื่องเหนือกว่าเพื่อนครูทั้งหลาย นับแต่เรื่องราวเล็กๆ ของภารโรงจนถึงเรื่องค่อนข้างใหญ่โตของฝ่ายบริหาร เป็นสิ่งที่แกมักรู้ก่อนและรู้ดีกว่าใครๆ
ทุกรายการที่แกแอบรู้ไม่ว่าข้อมูลจะเท็จจริงหรือ แกไม่เคยเก็บงำไว้ในใจ เหมือนกลัวเกิดการเก็บกดอันจะทำไปสู่ความเครียดอันไม่จำเป็น แกจึงเดินสายเล่าสารพันเรื่องในโรงเรียนสลับกับเรื่องราวของลูกทึงสามไปรอบเขตรั้ว ต่างแต่ว่า เรื่องของผู้คนในโรงเรียนมักไม่มีดี แต่เรื่องของลูกๆ แกไม่เคยมีเลว
ป้าสมจิตคือคนแรกๆ ที่ได้ฟังสารพันเรื่องจากปากของป้าสมใจ ทั้งสองย้ายมาโรงเรียนแห่งนี้ พร้อมกันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ป้าสมจิตเป็นนักฟังที่ดีเพราะแกเป็นคนอารมณ์ดี ริมฝีปากมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสม่ำเสมอทั้งวัน ประการสำคัญคือแกไม่ช่างพูด ตรงกับข้อมูลของนักจิตวิทยาที่พบว่า คนผอมมักเก็บตัวและเก็บกด ไม่ชอบแสดงออกสู่สาธารณะชน แต่บางพฤติกรรมก็ไม่ตรงนัก แม้จะชอบยิ้มมากกว่าเจรจา แต่แกกลับเป็นนักเดินทางที่เก่งกาจยิ่งกว่าฝ่ายบริหารคนใด เมื่อว่างจากคาบสอน แทนที่จะเก็บตัวที่โต๊ะทำงานหรือห้องสมุด แกกลับเดินไปหมวดอื่นเพื่อฟังเพื่อนครูคุยกัน แกจะนั่งแจมด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ โดยอาจจะพูดแซมเพียงสองสามคำ
ฉากและชีวิตของลูกป้าสมใจแต่ละคนเดินผ่านเข้าสู่โสตประสาทของป้าสมจิตไม่เว้นวัน ตัดสลับไปมาระหว่างลูกคนเล็ก คนกลางและคนโต แล้วกลับมาเริ่มต้นที่จุดเดิมอีก นับเป็นเหตุการณ์คงเส้นคงวาที่ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เรื่องราวของชีวิตผันแปรทุกวันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่ว่าจะน้อยเหมือนแก้วว่างหรือมากเหมือนแก้วล้น ล้วนไม่เป็นปัญหาของป้าสมใจ แกเป็นนักสวรรค์สร้างเรื่องเล่าอย่างไม่อาจหาใครเทียมทานในเขตรั้วแห่งนี้ สามารถจับน้ำหยดเดียวที่ก้นแก้วมาขยายความราวกับสัตว์เซลล์เดียวแบ่งตัว เรื่องเล่าจึงไม่เคยอุดตัน
ป้าสมจิตเริ่มเกิดอาการเบื่อเมื่อโครงเรื่องของป้าสมใจซ้ำซากนับไม่ถ้วนรอบ แกไม่แสดงความเห็นพ้องหรือเห็นต่าง แต่บ่งความรู้สึกเหม็นเบื่อออกมาทางสีหน้าและแววตา ป้าสมใจบังเอิญเหลือบแลเห็นเต็มหน้าจึงรู้สึกฉุนโกรธ แต่กาลก่อนนานมา ป้าสมจิตแสดงอาการชื่นชมภาพฉายทุกครั้งไม่ว่าจะตัดฉากของคนใด อย่างเลวก็ทำอาการเฉยเมย ไม่ชักสีหน้าแสดงอาหารในทางลบ
ด้วยตุ่มคันเล็กๆ ได้ผันแปรเป็นอื่น ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่า ใครเป็นคนเกาด้วยเล็บอันแหลมคมอย่างไม่บันยะบันยัง ตุ่มเล็กจึงกลายเป็นตุ่มใหญ่แล้วขยายผลเป็นบาดแผลสด
ป้าสมใจกับสมจิตยุติความสัมพันธ์อันยาวนานข้ามทศวรรษลงง่ายๆ แม้ผู้สันทัดกรณีก็ส่ายหัวมึนงง ไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือเหตุอันแท้จริงที่ทำให้สองป้าหันหลังให้กัน จึงได้แต่จัดกลุ่มซุบซิบในคาบว่างสอนจนลืมตรวจสมุดการบ้านนักเรียนไปตามๆ กัน
ป้าสมใจซึ่งมีความสุขรายวันด้วยการ พูด พูด พูด สารพัดเรื่อง บัดนี้กลับปิดปากเงียบสนิทเมื่อใครเอ่ยถึงป้าสมจิต แกไม่แสดงความคิดเห็นไม่ว่าด้านลบหรือด้านบวก แม้แกจะเป็นคนชอบแขก ยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ก็ไม่นิยมการตอกไข่ใส่ข่าวหรือ ละเลงสีป้ายใครๆ เหมือนสื่อมวลชนบางคน ตรงนี้อาจถือเป็นจรรยาบรรณอันน่ารักของฉายาจอมแส่แห่งสถาบัน
ในเมื่อสัมพันธไมตรีสะบั้นลงด้วยสาเหตุเล็กกว่าปลายชอล์ก ป้าสมใจจึงตกในวังวนของความวังเวง อันที่จริงแกก็กล่าวโทษตัวเองไม่น้อยที่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมา นึกเสียดายสันถวไมตรีอันทอดยาวตั้งแต่วันก่อตั้งโรงเรียน มันไม่น่าสิ้นสุดลงง่ายๆ ยิ่งกว่าเด็กทะเลาะกัน ครูรุ่นบุกเบิกจำนวนสิบห้าคนหนีหายกระสายซ่านไปคนละทิศทาง คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ อีกคนมรณะด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก นอกนั้นพากันหนีหายไปต่างโรงเรียน ป้าสมจิตคือเพื่อนร่วมรุ่นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ นึกอยากกล่าวคำขอโทษสำหรับพฤติกรรมไม่เหมาะสมถึงขั้นเอ็ดเพื่อนเสียงดังที่ไม่ยอมฟังเรื่องเล่าเหมือนเช่นเคย ฤดูกาลเลือดจะไปลมจะมาได้หวนคืนซ้ำรอบ หลังจากที่มันเคยเกิดเมื่อแปดเก้าปีก่อน อารมณ์อันนอกเหนือคำอธิบายจึงประทุอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ป้าสมใจเป็นทุกข์มากมาย นับแต่วันหันหลังให้ป้าสมจิต เฝ้าวนเวียนนึกถึงแต่ความสัมพันธ์ อันยาวนานกว่าทศวรรษ แกคร่ำครวญในหัวอกทุกวี่ทุกวัน ต่อแต่นี้คงหาใครมาแทนเพื่อนยากไม่ได้อีกแล้ว ไม่เพียงอายุที่ไล่เลี่ยกัน ไม่เพียงการร่วมทุกข์ภายใต้ถนนฝุ่นแงดในฤดูแล้งและมันได้กลายเป็น โคลนในฤดูฝนมิพักพูดถึงการผจญภัยในอาคารชั่วคราวอันร้อนระอุตลอดทั้งปี ก่อนเสาเข็มสร้างตึกต้นแรกจะถูกตอกลงดิน เพื่อบุกเบิกร่วมรุ่นจ้องแต่หาโอกาสย้ายหนีไปสู่โรงเรียนที่สุขสบายกว่า มีแต่สองเฒ่าผู้ทรหดนี้ที่ทนสารพัดทน จนถนนฝุ่นแดงกลายเป็นทางลาดลาง ห้องเรียนทุกห้องอยู่ภายใต้ตึกสี่ชั้นเช่นเดียวกับโรงเรียนมีชื่อทั่วไป
แม้อยากคืนดีป้าสมจิตใจจะขาด แต่ไม่อาจเริ่มต้นก่อน แกรู้ดีว่านี่คือจุดบกพร่องอันใหญ่หลวงของบุคลิก หากได้ชักสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่พึงใจใคร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด แกไม่อาจกล่าวคำขอโทษ ถ้าเหตุการณ์นั้นพ้นผ่าน คำขออภัยหากจะหลุดจากปาก มันต้องอัตบาลออกมาทันทีที่เหตุเกิด
ด้วยบุคลิกอย่างนี้ ป้าสมใจจึงเสียมิตรเป็นระยะๆ ทั้งมิตรรุ่นลูกจนถึงรุ่นพี่ แกนึกฉุนโกรธตนเองที่ได้แต่รู้สำนึก อะไรถูกอะไรผิด แต่พูดคำง่ายๆ ว่าขอโทษไม่เป็น
เรื่องราวแห่งความผิดพลาดมากมายทยอยไล่เลียงเข้ามาซ้อนทับในหัวสมอง ไม่มีเรื่องใดทำลายความสุขทางใจเท่าเรื่องป้าสมจิต แกอยากมีใครสักคนเป็นที่ปรึกษา อย่างน้อยเพื่อระบายความคับข้องอันแน่นหัวอก แต่ทั้งโรงเรียนไม่มีใครอยู่ในวัยร่วมรุ่น ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นลูกหลาน มีครูหกเจ็ดคนอยู่ในวัยใกล้ห้าสิบ ซึ่งแกอาจพูดอะไรด้วยอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจนัก แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สนิทสนมถึงขั้นจะหลั่งระบายเรื่องส่วนตัว
ในท่ามกลางความคิดอันเตลิดเปิดเปิง แว่บหนึ่งเผลอย้อนทวนสู่อดีตอันใกล้โพ้น เรื่องราวของชีวิตตั้งแต่จำความได้...ภาพของพ่อปรากฏขึ้น ผู้ชายร่างใหญ่มาดขรึมและวางอำนาจ พ่อถือว่าเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว แม่แบมือรับเงินทุกเดือน จะเอาปากเสียงที่ไหนมาพูดยามเมื่อพ่อเอ็ดตะโร ไม่ว่าเรื่องอยู่เรื่องกิน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนยากเย็นในการสนองความต้องการของพ่อ ยามที่อารมณ์มึนเมาครอบงำนั้น พ่อสามารถตะเบ็งเสียงตลอดจนลงมือทุบตีทุกคนในบ้านอย่างง่ายดาย ไม่เคยมีคำขอโทษหรือแสดงท่าทีผิดบาป แม้เพื่อนบ้านยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า พ่อผิดอย่างเถียงไม่ขึ้น
หยดน้ำใสไหลริน นึกสงสารแม่พลางสงสารตนเองและพี่น้อง ด้วยระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในสมัยนั้น ครอบครัวจึงดำรงอยู่สืบไปโดยไม่แตกหักหรือล่มสลาย แต่แรงเก็บกดไม่หายไปไหน มันค่อยดิ่งจมลงลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ ได้แต่คิดฝันประสาวัยเด็กว่า สักวันหนึ่งเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ วันนั้นจะไปยอมเอ่ยคำขอโทษใคร
วันนั้น...ป้าสมใจรู้ว่า ความตั้งใจเมื่อวัยเยาว์ผิดมหันต์ มนุษย์ต้องอยู่กันด้วยเหตุผล อำนาจนิยมไม่เคยก่อศานติสุขขึ้นในสังคมใด เมื่อผิดต้องรับผิดชอบ ต้องพร้อมจะกล่าวคำขอโทษ
ความคิดพล่านวน แกตอบตนเองไม่ได้ว่า ทำไมจึงรู้สำนึก แต่ทำไมได้สักเศษเสี้ยว
บาดแผลนั้นคงฝังลึก มันไม่ใช่แผลเป็นเพราะแผลเป็นไม่เจ็บปวดยามสะกิด น่าจะเรียกว่าแผลเรื้อรับที่ไม่เคยได้รับการรักษาจึงอักเสบทันทีที่ถูกสะกิด
ป้าสมใจยังคงกลัดกลุ้มต่อไป รู้วิธีแก้ปัญหา แต่ไม่รู้จะลงมือแก้อย่างไร บอกตนเองว่ามันง่ายยิ่งกว่าปัดเส้นผมที่บังภูเขา แต่มือสองข้างเหมือนเป็นอัมพาตในยามนี้
ป้าสมจิตไม่ค่อยเป็นทุกข์มากนัก แกถือว่าเป็นฝ่ายไม่ผิด การทำสีหน้าหน่ายแข็งเรื่องเล่าจากป้าสมใจเป็นสิทธิ แกทนมามากแล้วตลอดช่วงเวลากว่าสิบปี ผู้คนที่ได้รับฟังเรื่องเล่าจากป้าสมใจมีมากมาย พวกเขาทยอยหนีหาย บ้างย้ายไปโรงเรียนอื่น บ้างดีตัวออกห่าง บ้างกล่าวคำขัดคอ พวกเขาล้วนประสบความสำเร็จในการพาหูหนีห่างไปจากเสียง อันรบกวนโสตประสาท ป้าสมใจควรเข้าใจและเห็นใจ แกผู้เป็นมิตรรุ่นแรกและรุ่นสุดท้ายที่ยังครองขันติโสรัจจะอย่างมีวินัย จะตัดมิตรภาพอันสืบสายยาวนานด้วยเหตุเล็กน้อยได้อย่างไร
วันคืนล่วงเลยไปไม่ถึงสัปดาห์
เรื่องบังเอิญเกิดขึ้น คงไม่ต่างจากเรื่องราวในละครทีวียอดนิยมของนักเขียนชื่อดัง...พระเอกกับนางเอกต้องโคจรมาพบกันจนได้ในห้องอาหารแห่งหนึ่ง แม้ที่ดื่มกินในกรุงเทพฯจะนับไม่ถ้วนแห่ง
นักเรียนระดับชั้นมัธยมสามคนหนึ่งที่ป้าสมจิตเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาขาดเรียนเป็นเวลาสามวัน แกจึงส่งไปรษณียบัตรรายงานถึงผู้ปกครอง เมื่อเด็กมาเรียนในวันต่อมา แกจึงสืบสวนตามประสาอาจารย์ที่ปรึกษาชั้นดี
เหตุผลที่ลูกศิษย์อ้างไม่มีอะไรแปลกใหม่กว่านักเรียนคนอื่น แต่ข้อมูลข้างเคียงทำให้ป้าสมจิตหูผึ่ง
จากการซักถามหนแห่งที่อยู่ อาชีพผู้ปกครองในยุคไอเอ็มเอเอฟตามธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณแก้ปัญหา นักเรียนบอกเล่าว่า
“บ้านหนูอยู่ติดกับบ้านอาจารย์สมใจ”
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการสาวข้อมูลส่วนตัวของเพื่อนผู้สนิทสนมกันนานกว่าทศวรรษแต่เหมือนไม่รู้จักกันเลย
เมื่อถามถึงลูก เด็กนักเรียนรายงานข้อเท็จจริงว่า ไม่เคยเห็นลูกชายคนโตซึ่งมีครอบครัวแล้ว กลับมาเยี่ยมป้าสมใจในรอบกว่าสามปี ไม่ว่าวันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์หรือวันอื่นใด
ข้อมูลนี้เธอยืนยันว่าจริงพันเปอร์เซ็นต์ เพราะมันหลุดออกจากปากป้าสมใจเองที่มักมาบ่นน้อยอกน้อยใจให้แม่ของเธอฟังบ่อยๆ
มันตรงข้ามเหมือนดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์ เรื่องเล่าอันพรั่งพรูจากปากป้าสมใจราวคนอิ่มบุญ ยามเมื่อสาธยายถึงของฝากต่างๆ ที่ลูกชายสรรหามาให้แม่แทบทุกเดือน
ลูกสาวคนกลางซึ่งรู้กันทั้งโรงเรียนว่า สอบติดเอนทรานซ์คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเก่าแก่มีชื่อเสียงของรัฐนั้น ความจริงคือนักเรียนพาณิชย์ระดับ ป.ว.ส.เท่านั้นเอง
ประการสำคัญคือ หล่อนซ่อมทุกฤดูกาลลอบ ทำให้ป้าสมใจบ่นเรื่องการเรียนไม่เอาไหนให้เพื่อนบ้านฟังเป็นประจำ เรื่องหนักหนากว่านั้นคือการใช้เงินเป็นเบี้ย แต่งตัวเกินขีดเหมาะควร คบเพื่อนชายมากหน้าหลายตาอย่างสนิทสนมเกินงาม
โธ่เอ๋ย...ป้าสมจิตครวญในหัวอก ทุกข้อมูลเดินสวนทางกับความชื่นชมโสมนัสอันหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งครูทั้งโรงเรียนรับรู้จากการป่าวประกาศโพทนาถึง สัจจะ ความดีและความงาม อันดำรงอยู่พร้อมพรั่งในลูกทั้งสาม
ป้าสมจิตเศร้าโศกเกินกว่าจะถามถึงลูกชายคนเล็กซึ่งกำลังเรียนในระดับ ม.๖ แต่เด็กก็สาธยายออกมาโองด้วยความสุขสมในอารมณ์ ประหนึ่งจะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองว่า แม้แต่ลูกอาจารย์ก็ยังเลวกว่าลูกแม่ค้าเช่นเธอ
“เขาติดยาบ้าค่ะ” โรงเรียนกำลังจะไล่ออก เรื่องนี้อาจารย์สมใจเสียใจมาก ปรบทุกข์ให้แม่หนูฟังแทบทุกวัน
แม้ป้าสมจิตจะไม่มีลูก แต่การอยู่ในอาชีพครูเนิ่นนานกว่าสามสิบปีทำให้เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างถึงรากถึงโคน
การหันหน้าไปคนละทางยามเดินผ่านควรยุติลง นับแต่เกิดเหตุเล็กๆ ในวันนั้น ป้าสมจิตไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นป้าสมใจเมินมองไปทางอื่น แทนที่จะยิ้มแย้มทักทายตลอดจนหาโอกาสเล่าถึงวีรกรรมซ้ำๆ ของลูกทั้งสาม
แกบอกตนเองว่า เรื่องเล่าของป้าสมใจก็ไม่ต่างจากละครน้ำเน่าที่แกดูอยู่ทุกค่ำคืน รู้ทั้งรู้ว่าเน่าสนิท แต่มันก็ทำให้เพลิดเพลินไม่น้อย
แม้เรื่องเล่าของป้าสมใจจะสนุกน้อยกว่าละคร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวผู้เล่าไม่เคยเบื่อหรือหน่ายเซ็ง คงไม่ต่างจากผู้สร้างละครทั้งหลาย แม้รู้เต็มอกว่า มันเน่าสนิท แต่พวกเขาก็ยังตั้งหน้าผลิตเรื่องต่อไป
อีกไม่นานหลวงก็จะไล่ออกไปกินบำนาญ ช่วงเวลาที่เหลือจึงไม่น่าจะอยู่กันอย่างหน่ายเซ็งตลอดจนขมชื่น แกจึงจูงมือนักเรียนคนหนึ่งเป็นเครื่องนำทางไปง้อเพื่อนเก่าแก่นักเรียนคนที่เพิ่งเล่าอัดซีวประวัติครอบครัวลูกสามของเพื่อนจบลง ป้าสมจิตสั่งให้เด็กปรึกษาป้าสมใจเรื่องการทำรายงานวิชา “ประเทศของเรา” แม้นักเรียนจะปฏิเสธว่าไม่มีปัญหาใดๆ แต่แกก็ยัดคำถามใส่ปากสองสามคำให้ถามจนได้
ป้าสมจิตเชื่อว่า ไม่เกินวันพรุ่งนี้ เรื่องเล่าจากปากป้าสมใจจะดำเนินต่อไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขเหมือนเช่นเคย แกแอบยิ้มกับตนเองด้วยหัวใจที่เบิกบานยิ่งกว่าการทำบุญครั้งใหญ่
|
|
วันที่ 18 พ.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,161 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,134 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,172 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,136 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,140 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 74,752 ครั้ง |
เปิดอ่าน 31,064 ครั้ง |
เปิดอ่าน 1,063 ครั้ง |
เปิดอ่าน 1,483 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,333 ครั้ง |
|
|