ถาม : ถาม.คราบฟันหรือหินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตอบ : หินปูนหรือหินน้ำลาย คือ แผ่นคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัว เนื่องจากมีธาตุแคลเซียม จากน้ำลายเข้าไปตกตะกอน แผ่นคราบจุลินทรีย์ หรือ Bacterial plaque คือ คราบสีขาวขุ่นนิ่ม ที่ประกอบด้วยเชื้อโรค ติดอยู่บนตัวฟัน แม้ว่าจะบ้วนน้ำ ก็ไม่สามารถหลุดออกได้ ขบวนการเกิดคราบจุลินทรีย์ เริ่มต้นหลังจากที่แปรงฟัน แล้วเพียง 2-3 นาที โดยจะมีเมือกใสของน้ำลาย มาเกาะที่ตัวฟัน จากนั้นเชื้อโรคที่มีอยู่มากในปาก จะมาเกาะทับถมกันมากๆ เข้าเกิดเป็นคราบจุลินทรีย์ คราบจุลินทรีย์นี้เอง เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด โรคฟันผุและโรคปริทันต์ เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป คราบจุลินทรีย์นี้ จะใช้น้ำตาลจากอาหาร สร้างกรดและสารพิษ โดยกรดจะทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ สารพิษจะทำให้เหงือกอักเสบ ทำให้เกิดโรคปริทันต์ ถ้าไม่กำจัดคราบจุลินทรีย์ โดยการทำความสะอาดฟัน และเหงือกอย่างดีทุกวัน คราบนี้จะเพิ่มมากขึ้น และทำอันตรายต่อฟันและเหงือก มักพบคราบจุลินทรีย์มาก โดยเฉพาะที่คอฟัน บริเวณขอบเหงือกและซอกฟัน สามารถใช้สีย้อม ให้เห็นคราบได้ชัดเจน แต่ในรายที่คราบหนามากๆ สามารถเห็นและรู้สึกได้ เมื่อใช้ลิ้นสัมผัสไปตามฟัน
ถาม : ความสำคัญและความจำเป็นในการขูดหินปูน
ตอบ : บนพื้นผิวหินน้ำลาย จะมีคราบจุลินทรีย์ปกคลุม หินน้ำลายที่โผล่พ้นขอบเหงือก จะมองเห็นได้ แต่ส่วนที่อยู่ใต้เหงือก จะมองไม่เห็น หินปูนหรือคราบจุลินทรีย์ ที่ยึดติดอยู่บนหินปูนใต้เหงือก ไม่สามารถกำจัดออกได้ โดยวิธีการทำความสะอาดฟันด้วยตัวเอง ต้องอาศัยทันตแพทย์ ช่วยกำจัดหินปูนให้ ทันตแพทย์จะขูดหินปูนออก ทั้งเหนือเหงือกและใต้เหงือก จากนั้นทำรากฟันให้เรียบ (root planning) ปราศจากสารพิษใดๆ เพื่อให้เหงือกยึดแน่น รอบตัวฟันเหมือนเดิม
การขูดหินปูนให้หมดจริงๆ อาจต้องใช้เวลาพอควร อาจต้องนัดครั้งละ 30-45 นาที เป็นเวลา 2-4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับ ความมากน้อยของหินปูน ความลึกของร่องลึกปริทันต์ ความแข็งของหินปูนเป็นต้น
หลังจากนั้นประมาณ 4-6 อาทิตย์ ทันตแพทย์จะประเมินผลดูว่า ผู้ป่วยหายจากโรคปริทันต์หรือไม่ โดยดูลักษณะเหงือกว่า กลับสู่สภาพเดิมหรือยัง มีเลือดออกเวลาแปรงฟัน และเมื่อใช้เครื่องมือวัดร่องลึกปริทันต์ ว่าตื้นขึ้น หรือเข้าสู่ภาวะปกติหรือไม่ ถ้ายังมีความลึกของ ร่องลึกปริทันต์อยู่ ทันตแพทย์จะพิจารณาว่า ควรจะทำการผ่าตัดหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นกับ การร่วมมือของผู้ป่วย ในการทำความสะอาดด้วย แม้ว่าเหงือกจะกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ถ้าผู้ป่วยละเลย ไม่ทำความสะอาด อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะกลับมาเป็นโรคปริทันต์ได้อีก
ถาม : ควรเริ่มขูดหินปูนตั้งแต่วัยใด
ตอบ : สามารถขูดหินปูนได้ทุกวัย แม้กระทั่งในวัยเด็กที่มีฟันน้ำนมขึ้นแล้วไปจนกระทั่งผู้สูงอายุ
ถาม : ระยะความถี่ห่างของการขูดหินปูนที่เหมาะสม
ตอบ : ในระยะแรกๆ หลังการขูดหินปูน ควรกลับมาให้ทันตแพทย์ ตรวจและทำความสะอาด ภายใน 2-3 เดือน จากนั้น ถ้าผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดได้ดี ไม่มีเหงือกอักเสบ หรือไม่มีร่องลึกปริทันต์ ทันตแพทย์จะนัดผู้ป่วย มาตรวจและขูดหินปูน ภายใน 5-6 เดือน โดยทุกครั้ง จะดูความร่วมมือของผู้ป่วย และอาจทบทวน วิธีการทำความสะอาด ฟันและเหงือกด้วย
ถาม : การขูดหินปูนบ่อยๆ จะมีผลกระทบต่อฟันหรือไม่
ตอบ : ในบางครั้ง จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้บ้าง ภายหลังการขูดหินปูน และอาจมีการเจ็บเหงือกบ้างบางครั้ง แต่การดูแลรักษาความสะอาดที่ถูกต้อง จะทำให้อาการดังกล่าวหายไป
ถาม : ถ้าไม่ขูดหินปูนจะเกิดผลเสียอย่างไร
ตอบ : จะทำให้เกิดโรคปริทันต์ โดยท่านอาจมีอาการดังนี้
1. เลือดออกขณะแปรงฟัน
2. เหงือกบวมแดง
3. มีกลิ่นปาก
4. เหงือกร่น
5. มีหนองออกจากร่องเหงือก
6. ฟันโยก
7. ฟันเคลื่อนออกจากกัน
ถาม : ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกกับเลือดหยุดยาก สามารถขูดหินปูนได้หรือไม่
ตอบ : ผู้ป่วยที่มีเลือดหยุดยาก ควรจะมีการปรึกษาแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ปรึกษา และวางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ โดยอาจจะต้องหยุดยา ที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า หรือในกรณีที่มีเลือด ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด อาจต้องให้เลือด หรือสารทดแทนก่อนขูดหินปูน เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อน หรือเลือดไหลไม่หยุด
ถาม : การป้องกันในการเกิดคราบหินปูน
ตอบ : ประกอบด้วยการทำความสะอาดฟัน นั้นคือ การแปรงฟันให้ถูกวิธี การทำความสะอาดซอกฟัน รวมทั้งการนวดเหงือก ซึ่งมีหลายวิธี เช่นการใช้เส้นใยขัดฟัน (flossing) ปุ่มนวดเหงือก (rubber tip) แปรงระหว่างซอกฟัน (proxmal brush) ผ้าก็อซ (gauze strip) ไม้กระตุ้นเหงือก การที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ตัวใด ขึ้นอยู่กับการพิจารณา และคำแนะนำของทันตแพทย์
ถาม : ข้อแนะนำท้ายรายการ
ตอบ : ท่านสามารถป้องกันโรคฟันผุ และโรคปริทันต์ ได้โดยการกำจัดคราบจุลินทรีย์ ในช่องปากของท่าน โดยการ
1. แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้บ้วนน้ำแรงๆ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร
2. ทำความสะอาดซอกฟัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
3. หลีกเลี่ยงอาหารหวานๆ โดยเฉพาะระหว่างมื้อ
4. พบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจสภาพเหงือกและฟัน เพื่อทำความสะอาดฟัน บริเวณที่เหลือ จากการทำความสะอาด และรับการรักษาระยะเริ่มแรก ก่อนที่ท่านจะต้องสูญเสียฟันของท่าน เนื่องจากโรคฟันผุและปริทันต์
ทพ. มหิศร วิเศษจัง
แหล่งข้อมูล : Siriraj E-Public Library - www.si.mahidol.ac.th