หลายคนอยากเป็นคนที่มีเสน่ห์ เพราะคนหน้าตาดี ฐานะดี โอกาสดีหลายคนโชคไม่ดีตรงที่ไม่มีเสน่ห์ จึงมักจะไม่โดดเด่น หรือไม่ประสบความสำเร็จในการงาน และบทบาทของตัวเอง
มีคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะมีเสน่ห์ ?
ก่อนจะอธิบายว่าต้องทำอย่างไร ขอให้ความมั่นใจกับทุกท่านเสียก่อนว่า คนทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง แต่ต้องหาให้พบว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ประจำตัวคุณ แต่ในเวลาเดียวกัน คนทุกคนก็มีสิ่งบั่นทอนเสน่ห์อยู่ในตนเอง ซึ่งก็ต้องค้นให้พบด้วยเหมือนกัน และระมัดระวังให้มั่นว่ามันถูกแสดงออกมาโดยตลอดหรือเปล่า
ทีนี้ก็มาดูกัน ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นเสน่ห์ประจำตัวของคนเราได้
1. รอยยิ้ม
คนยิ้มเก่งมีเสน่ห์กว่าคนไม่ยิ้ม และการยิ้มก็ไม่ใช่สักแต่ว่ายิ้ม ต้องยิ้มให้สวย ยิ้มให้จริงใจ และมีชีวิตชีวา ยิ้มเป็นประตูแห่งไมตรี ใครไม่มีรอยยิ้มเผื่อแผ่คนอื่นด้วยความจริงใจ เขาว่าเป็นคนไร้ไมตรี ไม่เปิดประตูรับไมตรีจากคนอื่น ถือเป็นพวกด้อยมนุษยสัมพันธ์ นั่นทำให้เขามีเสน่ห์น้อยลง
ยิ้มเป็นเครื่องมือผูกมิตร เป็นกุญแจไขสู่บทสนทนาและความคิด และนำไปสู่ความก้าวหน้ามหาศาล ฉะนั้น หมั่นยิ้มกันไว้ให้เป็นธรรมชาติ ยิ้มด้วยหัวใจ คนจะสัมผัสวิญญาณแห่งรอยยิ้มของคุณได้ และมันจะกลายเป็นเสน่ห์ ยกเว้นบางคนที่ยิ้มแล้วมีแต่ซากของรอยยิ้ม เพราะยิ้มนั้นไม่มีวิญญาณ
2. ความดูดี
ดูดีที่ว่านี้ ต้องไล่กันมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทีเดียว หากทั้งหมดเป็นองค์ประกอบที่เสริมกันได้ ก็จะกลายเป็นเสน่ห์ที่โดดเด่นมาก ไล่มาตั้งแต่สุขภาพเส้นผมที่แข็งแรง สลวย มีน้ำหนัก และเลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า ทำให้ดูมีสง่าราศี และน่ามอง ใบหน้าก็ต้องผุดผ่อง สะอาด เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง เสื้อผ้าอาภรณ์เหมาะสมกับกาลเทศะ รูปร่าง สีผิว และหน้าที่การงาน รองเท้าเข้ากับชุด และสะอาด เดินเหินคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง และสง่างาม เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความดูดีที่เปี่ยมเสน่ห์ทั้งสิ้น
3. พูดดี พูดเพราะ พูดเป็น
วัตถุประสงค์แรกของการพูด คือการตั้งใจหมายสื่อสาร ดังนั้นต้องพูดให้เป็น สื่อสารให้รู้เรื่อง จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล แต่นั่นยังมิใช่เสน่ห์ เป็นแค่คุณสมบัติเบื้องต้นของคนพูดเป็น แต่เสน่ห์นั้น ต้องพัฒนาไปถึงขั้น "คนพูดดี" ด้วย
พูดดีหมายถึงอะไร... หมายถึงพูดเป็นบวก และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะพูด มากหรือน้อยแค่ไหน พูดให้จับใจ ได้สาระ ได้ความคิดที่เฉียบคม และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม ได้ใจคนฟัง พูดด้วยท่าทางและถ้อยคำที่สุภาพ ดึงดูดใจ เพลิดเพลิน และเกิดประโยชน์ คนที่พูดดี พูดเพราะ พูดเป็น ยิ่งกว่ามีเสน่ห์เสียอีก เพราะสิ่งนี้คือความสามารถ คือศิลปะที่เรียกว่า วาทศิลป์ หลายอาชีพต้องอาศัยวาทศิลป์นี้ จึงจะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ
4. น้ำใจดี
น้ำใจเป็นเสน่ห์ของคน คนเห็นแก่ตัวไม่มีใครรัก ไม่มีคนชื่นชม ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ เพราะใจเขาดำ อย่าเป็นคนใจดำ อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ต้องรู้จักมีน้ำใจ ให้ก็เป็น รับก็เป็น และเห็นแก่ทุกข์สุข ความเหนื่อยยาก ความถูกต้องเป็นธรรม หรือโอกาสที่สามารถหยิบยื่นให้คนอื่นได้ด้วย
น้ำใจแสดงออกได้ตลอดเวลา ทั้งกับคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ในที่ทำงาน ในชุมชน และในสังคม ความมีน้ำใจต้องเป็นไปตามธรรมชาติถึงจะน่าชื่นชม ถึงจะเป็นเสน่ห์ที่แท้จริง ฉะนั้น อย่าแสร้งมีน้ำใจ เพราะว่าแสร้งแค่ไหน คนเขาก็จับได้อยู่ดี แทนที่จะเป็นเสน่ห์ จะกลายเป็นจุดอ่อน บั่นทอนความน่าเชื่อถือไปจนหมดได้
5. รู้จักรับฟังผู้อื่น
คนที่รู้จักฟังคนอื่น น่ารักยิ่งกว่าคนที่พูดดีๆ ให้คนอื่นฟังได้ ทักษะการพูดให้ดี ใครๆ ก็ฝึกได้ แต่อุปนิสัยในการฟังและรับฟังคนอื่น เป็นสัญชาตญาณ เป็นอุปนิสัย ซึ่งหากไม่ได้รับการปลูกฝังมา ก็จะเป็นคนที่ไม่รับฟังใครโดยไม่รู้ตัว ดื้อ และยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
การรู้จักรับฟัง ไม่ได้แปลว่าแค่นั่งฟังคนอื่นพูด ทว่าหมายถึงการนำสิ่งนั้นไปขบคิด ไตร่ตรอง และแสดงให้เขารู้สึกว่า เราเป็นคนเปิดกว้าง ให้เกียรติ และเห็นความสำคัญของคนทุกคน และทุกความคิด ไม่ได้ยึดเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่หรือเห็นแต่ตัวเองว่าสำคัญ เก่งกาจ หรือดีเด่นกว่าใครอื่นเขา
6. มีรสนิยมดี
บางคนเลือกของเก่ง ถ้าจะซื้อของต้องปรึกษาคนนี้ บางคนเลือกเสื้อผ้าดี รู้จักมิกซ์และแมทช์ให้เข้ากันและเก๋ไก๋ บางคนรสนิยมวิไลในเรื่องการแต่งบ้านและจัดโต๊ะที่ทำงาน เพียงอุปกรณ์และข้าวของไม่กี่ชิ้น ก็สามารถทำให้บางมุมของบ้าน ที่ทำงาน หรือโต๊ะทำงานสวยเก๋ขึ้นมาทันตา แต่บางคนก็มีรสนิยมดีในการเลือกเครื่องประดับ ไม่ต้องโปะลงไปมาก แต่ดูสวยมาก รสนิยมแบบนี้เป็นศิลปะขั้นสูง บางทีถึงกับต้องอาศัยพรสวรรค์ แต่หากรู้จักสังเกต ช่างสังเกตเสียหน่อย ไม่นานพรสวรรค์ก็จะปรากฏแก่คุณ
7. รู้จักใช้ชีวิต
หลายคนที่เราชื่นชมและหลงรัก ไม่ใช่เพราะเขามีฐานะมั่งคั่งเป็นมหาเศรษฐี หรือเพราะมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทว่าเกิดจากการมีศรัทธาในการใช้ชีวิตของเขา เขาอาจจะเลือกใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย แต่สนุก มีสีสัน และมีความสุข เขาเลือกเพลงเป็น บ้านของเขาจึงรื่นรมย์ไปด้วยบทเพลงที่ไพเราะ เขาใช้วันหยุดเป็น ไปเดินเล่น ไปเที่ยววัด เข้าพิพิธภัณฑ์ ไปว่ายน้ำ ไปถ่ายรูป ไปเสวนาวิสาสะกับผู้คน หรือพาลูกไปเรียนรู้นอกบ้าน ชีวิตของเขาช่างมีชีวิตชีวา น่าอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก นี่คือเสน่ห์ของการใช้ชีวิต
จะเห็นว่า ทั้งหมดที่ว่ามานั้น "เสน่ห์" ไม่ใช่เรื่องการเสแสร้งแกล้งทำ หรือแสดงให้คนอื่นหลงเชื่อ เสน่ห์ต้องมาจากเนื้อแท้ มาจากความเป็นตัวตนของคนคนหนึ่งจริงๆ
ประตูสู่การปรุงเสน่ห์จึงอยู่ที่การค้นพบให้ได้ว่า เราเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร และอะไรบ้างที่เป็นเสน่ห์ของเรา หรือเอาแต่เลียนแบบคนอื่น หาแบบฉบับที่เป็นของตัวเองไม่ได้เลย แล้วก็มานั่งงงว่า ทำไมไม่มีใครเคยชื่นชมเราเลย ว่าเราเป็นคนมีเสน่ห์ จากนั้นก็พัฒนาจุดเด่นของเรา และลดทอนจุดอ่อนของเรา เสน่ห์ก็จะปรากฏแก่สายตาของคนทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
ที่มา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์