ข่มเหง-ข่มใจ...
......ใครจะข่มอย่างไรข่มไปเถิด
คิดละเมิดแบบไหนยากไหวหวั่น
แต่ก็แค่สติเฝ้ารู้เท่าทัน
ซึ่งก็เพียงขณะนั้นสิหนอใจ
เห็นตลอดจิตใจไม่เคยเที่ยง
ทำได้เพียงยอมรับกับแก้ไข
เฝ้าแต่รู้เฝ้าแต่รู้ดูต่อไป
เดี๋ยวเศร้าหมองเดี๋ยวผ่องใสไม่ช้าชัก
พลังของสติที่มีต่อเนื่อง
สร้างข่ายเรืองปัญญาให้ใจประจักษ์
หากสติคอยรู้ตามเป็นยามทัก
เราย่อมจักเกิดใหม่อย่างใสงาม
เราต่างรู้เหตุผลการฝนฝึก
แต่ส่วนลึกของเรากลับเขลาห่าม
มักมีแต่ความครุ่นคิดคอยติดตาม
แล้วขู่ฟ่อพอใครหยามไม่ยอมทน
สติดูรู้เห็นดอก “ลิงหลอกเจ้า”
ความฟุ้งซ่านผลาญเผาเศร้าสับสน
แสนเหน็ดเหนื่อยเรื่อยเพราะใจไม่จำนน
คอยดิ้นรนหวงกิเลสในเจตน์จินต์
เมื่ออาศัยโพชฌงค์องค์ความรู้
พินิจดูธรรมวิจัยใฝ่ถวิล
เรายโสโอหังทั้งชีวิน
จะดับดิ้นก็เพราะไฟในใจเรา
เฟ้นเลือกธรรมนำใช้ในชีวิต
เพื่อกล่อมจิตอุกอาจและขลาดเขลา
เลือกขันติโสรัจจะมาขัดเกลา
ใจจึงเบาค่อยถ่อมตนพ้นลำพอง
จะรู้ตัวต้องยามที่มีสติ
สมาธิครองใจสดใสผ่อง
ปัสสัทธิวิเวกอเนกครอง
ได้สบต้องแต่ไม่นานนักผ่านเลย
ปฏิฆะมักกระทบประสบสิ่ง
จึงยากยิ่งแม้อยู่อย่างคิดวางเฉย
มักพบเหตุกิเลสร้ายมาก่ายเกย
คนนั้นเอ่ยคนโน้นอัดสุดทัดทาน
วันเวลาผ่านผันถึงวันนี้
ปรากฏมีความเปลี่ยนไปในหลายด้าน
ความยโสโอหังมมังการ
ได้ถูกราญไปไม่น้อยพลอยชื่นใจ
เพราะขันติโสรัจจะคอยละปล่อย
ทีละน้อยทีละเล็กหลอมเหล็กไหล
สติจึงเริ่มต่อเนื่องเป็นเฟืองไป
รู้สึกใหม่เป็นไทขึ้นด้วยตื่นตัว
ความรู้สึกดีงามเริ่มผลิก่อ
ความรู้สึกเพียงพอรินหล่อทั่ว
ความรู้สึกหุนหันเลิกพันพัว
ความรู้สึกดีชั่วกลับชัดเจน
ก็ยังเป็นปุถุชนเป็นคนหนา
เริ่มปอกเปลือกมายาจึงมาเห็น
ด้วยเจริญสติรู้อยู่เช้าเย็น
จึงเปลี่ยนเป็นคนที่ดีพอควร
เห็นคุณค่าระลึกรู้ดูกายจิต
เห็นภัยพิษล้นหลามยามใจป่วน
ใครจะหยามย่ามใจใครก่อกวน
เราก็ล้วนสงบใจได้สั้นลง
ปฏิบัติธรรมนำใจให้เราเปลี่ยน
ให้เราเรียนรู้จริงสิ่ง รู้-หลง
เหลือแต่สิ่งยึดถือคือซื่อตรง
จึงน้อมกราบพระพุทธองค์ ณ ตรงนี้.