ย้อนรอย แห่ง วิถีนาฏดุริยางค์ล้านนา...
ที่มา ( www.lannacorner.net )
ที่มา (www.isan.clubs.chula.ac.th )
การดนตรีและการฟ้อนรำของล้านนานั้น มีมาแต่เดิมแล้วโดยสืบทอดมาจากบรรพชนในยุคต้นๆ แต่มีลักษณะเป็นระบำมากกว่า ซึ่งตรงกับภาษาพื้นเมืองว่า “ฟ้อน” ลักษณะลีลาท่ารำเลียนแบบและดัดแปลงมาจากอากัปกริยาของมนุษย์ การเคลื่อนไหว การเชื่อมท่ารำจากท่าหนึ่งไปท่าหนึ่ง และท่าทางที่ฟ้อนออกมานั้น แตกต่างกันออกไปต่างเผ่าพันธุ์และความเชื่อในกลุ่มชนนั้นๆ เช่น ฟ้อนเงี้ยว (ไทยใหญ่) ฟ้อนดาบ ฟ้อนม่าน (พม่า) ฟ้อนผี ฟ้อนเจิง (ชั้นเชิง) ส่วนเครื่องดนตรีนั้นน่าจะมีมาแล้วเช่นกัน แต่มีไว้เพื่อใช้ผ่อนคลายอารมณ์เฉพาะตัว และใช้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแอ่วสาว (เกี้ยวสาว) มากกว่า ไม่มีการนำไปใช้ในพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนที่มีการนำไปเกี่ยวพันกับความเชื่อและพิธีกรรมหรือความเชื่อใด ๆ นั้น เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยหลังประมาณต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้เพราะอิทธิพลราชสำนักสยามติดขึ้นมากับขบวนของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีฯ นั่นเอง สำหรับรูปร่างลักษณะของเครื่องดนตรี ก็ดัดแปลงไปตามความนิยมของท้องถิ่นและเผ่าพันธุ์ ผสมกับวัสดุที่มีในท้องถิ่น อาทิเช่น กลองแบบต่างๆ สำหรับเทคนิคหรือวิธีการรวมทั้งหลักการบรรเลงทำนองเพลงไม่เป็นมาตรฐาน สุดแต่ผู้ใดจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่บรรเลงออกมาให้เป็นสำเนียงหรือท่วงทำนองตามที่ต้องการ
ปฐมบทแห่งการดนตรีและการฟ้อนรำล้านนา
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อาณาจักรล้านนาให้ลึกซึ้งเราพอจะทราบได้ว่าชนพื้นเมืองนั้นมีหลายเผ่าพันธุ์และส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายมาจากทิศเหนือ ดังนั้นลักษณะลีลาท่ารำ จึงไม่เหมือนกับทางใต้ ไม่เข้มงวดในการใช้มือสื่อความหมาย หรือใช้มือทั้งสองข้างเหมือนภาคกลางแต่กลับมีกระบวนการและลำดับการแสดงเป็นแบบระบำซึ่งเรียกเป็นภาษาพื้นเมืองว่า “ฟ้อน” หากนำไปเปรียบเทียบกับท่าทางการรำ และวิธีการฟ้อนแล้ว จะมีความคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการแสดงของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแคว้นมณีปุระมาก คงมีอยู่แต่เฉพาะเพียงในกลุ่มชนของตนเท่านั้น อาทิ ฟ้อนเงี้ยวของชาวไทยใหญ่ ฟ้อนม่านของชาวพม่า และ ฟ้อนแห่ครัวตาน เท่านั้น
ที่มา ( www.sangaban.org )
ในพุทธศักราช 2413 สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์เชื้อเจ็ดตน
อิทธิพลของการดนตรีและการละคอนในราชสำนักสยามได้เริ่มแผ่ขึ้นมาปกคลุมนครเชียงใหม่ โดยเริ่มจากคุ้มเจ้าหลวงก่อน ยังไม่ได้แพร่ขยายออกไปถึงประชาชนในท้องถิ่น
จนพุทธศักราช 2453 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติสืบต่อ และพระเจ้าอินทวิชยานนท์พิราลัย เจ้าแก้วนวรัฐฯขึ้นครองนครเชียงใหม่สืบต่อ นับเป็นองค์ที่ 9 และเป็นองค์สุดท้ายของวงศ์เชื้อเจ็ดตน การละคอนฟ้อนรำ และ การดนตรีในนครเชียงใหม่จึงมีการดำเนินกิจการกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้การฟ้อนรำการดนตรีที่มีอยู่เดิมถูกนำมาพัฒนาแก้ไข ปรับปรุงจนเจริญก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้
ที่มา ( www.banramthai.com )
ในขณะเดียวกัน ก็เกิดการเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ลีลาท่ารำของชนพื้นเมืองนั้น มีความเป็นตัวของตัวเอง คือ เรียบง่าย ผิดกับแบบในคุ้มในวังของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีฯ ซึ่งนำเอาแบบอย่างราชสำนักสยามมาเป็นหลักในการฝึกซ้อม ฝึกหัดนักแสดงที่อยู่ในคุ้มด้วยความผูกพันและฝังแน่นอย่างลึกซึ้งใน ขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนักสยาม พระเจ้าอินทวิชยานนท์ฯจึงนำเอาขนบธรรมเนียมประเพณีและวิธีการต่างๆที่พบเห็นในราชสำนักสยามมาใช้ในคุ้มของท่าน มีการตั้งคณะดนตรี ปี่พาทย์และคัดเลือก (ผู้หญิง)สาวมาหัดรำ เรียกว่า “ช่างฟ้อน” ดังนั้นวงปี่พาทย์และการฟ้อนรำจึงเกิดขึ้นในคุ้มเจ้าหลวงนครเชียงใหม่ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ที่มา (www.openbase.in.th )
การฟ้อนพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นการแสดงพื้นเมืองที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนา
การฟ้อนและการทำบุญ สำหรับชาวล้านนานั้นเป็นของคู่กัน เพราะทุกครั้ง ที่มีการทำบุญ ก็จะมีการฟ้อนควบคู่กันไปโดยถือว่า การฟ้อนเป็นการทำบุญไปด้วยในตัว โดยประเพณีของชาวล้านนานั้น เมื่อฤดูทำนาแล้ว ชาวบ้านมักมีงานบุญและบอกบุญไปยังหมู่บ้านอื่นให้มาร่วมทำบุญเป็นการฉลองซึ่งเรียกว่า งานปอย มีการตกแต่ง เครื่องไทยทาน จัดเป็นขบวนแห่ เครื่องอัฐบริขารต่างๆ ที่เรียกว่า เครื่องครัวทานให้ผู้หญิงฟ้อนนำขบวนมาประมาณ 8 – 10 คน จึงจะเห็นได้ว่า โอกาสที่จะใช้ในการแสดง แต่ก่อนแสดง ในงานบุญ ในปัจจุบัน ฟ้อนพื้นเมืองของล้านนาได้แสดงในโอกาสต่าง ๆ รวมถึงการแสดง ให้ชาวต่างชาติได้ชื่นชมด้วย
ที่มา (www.blogspot.com )
และนี่ก็คือ วิวัฒน์แห่งนาฏดุริยล้านนา ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่สืบทอด สานต่อจากรุ่นสู่รุ่น เสมือนหนึ่ง วัฐจักรของชีวิต ที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านตามกาลเวลา จนผ่านพ้นมาถึงในปัจจุบัน ให้ผู้คนในยุคนี้ได้เรียนรู้ ศึกษา ให้เป็นแบบอย่าง วิถีแนวทางที่ดีงาม ของการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม
ที่มา ( www.farm2.static.flickr.com )
แต่ในยุคโลกาภิวัฒน์ โลกที่ไร้ที่พรมแดน กระแสทางสังคม วัฒนธรรมต่างชาติ วัตถุนิยม ที่ทะลักเข้ามา ดุจกระแสน้ำเชี่ยวกราด สภาพวิถีสังคมที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ยากที่จะไล่ตามให้ทัน ทั้งทางด้าน วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี รวมถึง โรคภัยต่าง ๆ ช่างน่าเป็นห่วง และวิตกว่า วัฒนธรรมภูมิปัญญาจะหยั่งรากลึก ทนต้านทานต่อกระแสวิกฤตเหล่านี้หรือไม่ เราในฐานนะของคนในรุ่นนี้ ที่จะเป็นแรงพลัง เห็นคุณค่า ร่วมรักษ์ ในสิ่งที่ดีงาม ให้สืบสานสู่คนรุ่นต่อไป
ฤาจะให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า วัฒนธรรมภูมิปัญญา อันทรงคุณค่า ได้สูญสิ้นหมดไปในยุคสมัยนี้ มีเหลือ ไว้เพียง รูปภาพและตัวหนังสือ ให้ได้ทรงจำ
อ้างอิงแหล่งที่มา
ธีรยุทธ ยวงศรี. (2534). 20 ปี วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่. เชียงใหม่การพิมพ์. เชียงใหม่.
www.sangaban.org
www.lannacorner.net
www.openbase.in.th
www.banramthai.com
www.isan.clubs.chula.ac.th
www.farm2.static.flickr.com
www.blogspot.com