Advertisement
ระลึกชาติได้ที่พม่า ตอนที่2-กระโถนบ้วนน้ำหมากพระนางสุภยลัต
ขอบอกก่อนนะคะว่า เรามีเวลาในย่างกุ้ง 3 วันเต็มๆ ซึ่งเหลือแหล่มาก เพราะย่างกุ้งเมืองเล็กกระติ๊ดเดียว
เราสามคนพ่อแม่ลูกเดินทางถึงเมืองตะโกง(ชื่อเก่าแก่ของย่างกุ้ง ประมาณเหมือนว่าบางกอกคือชื่อเก่าของกรุงเทพ)วันที่1มกราคมพอดี
หน้าที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของเราทุกครั้งที่สนามบินคือ จับมือลูกไว้แน่นๆ อย่าให้หลุดไปไหนได้เชียว พร้อมทั้งเฝ้ากระเป๋าสัมภาระทั้งหมด เนื่องจากสนามบินของพม่านั้น สับสนวุ่นวายมากๆไม่รู้ใครเป็นใคร เจ้าหน้าที่สนามบินไม่มีบัตรประจำตัวพนักงาน ไม่มีการแต่งเครื่องแบบ งงมาก อย่าให้ใครมาแตะกระเป๋าเราก็แล้วกัน
แท็กซี่ของสนามบินเข้าเมืองย่างกุ้งราคาตายตัวอยู่ที่ 7 เหรียญยูเอส ได้ยินว่าถ้าออกไปเรียกข้างนอกสนามบิน ราคาจะตกอยู่ที่ 4-5 ยูเอส แต่เดี๊ยนไม่เอาหรอกค่ะ ทั้งลูกทั้งของอิรุงตุงนัง 7 เหรียญก็ 7 เหรียญ
การเดินทางของเราทุกครั้ง จะไม่มีการจองโรงแรม ไปถึงค่อยไปตายเอาดาบหน้า เรียกว่าเลือดนักสู้บูชิโดเต็มเปี่ยม
เราว่าการจองโรงแรมนั้นเปรียบได้กับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ยังไม่เห็นหน้าเจ้าสาว แต่ค่าสินสอดก็จ่ายไปแล้ว พิธีแต่งงานก็จัดไปแล้ว เจ้าสาวหน้าเหมือนนางกุลาก็ต้องทนกลืนกันไป เหมือนกับการจองโรงแรม รูปใบเวปส้วยสวย แต่ไปถึงกลับไม่เป็นดั่งรูป น่าเศ้ราและเสียดายเงินมาก ทั้งเมืองย่างกุ้งไม่มีโรงแรมนอนให้มันรู้ไป
เวลานั่งรถจากสนามบินไปโรงแรม ถ้าคนขับรถหรือใครๆถามว่าจองโรงแรมมาหรือเปล่า ให้บอกแบบเต็มปากเต็มคำว่า จองมาแล้ว ทั้งๆที่ไม่ได้จองก็เหอะ เพราะไม่อย่างนั้น คนขับจะพาไปโรงแรมอื่นที่เขาได้คอมมิชชั่นค่ะ
เรานอนที่โรงแรม Central Hotel ซึ่งเซ็นทรัลสมชื่อจริงๆคือ อยู่ใกล้ตลาดบ๊กจ๊ก แหล่งช้อปปิ้ง และไม่ไกลจากสถานที่สำคัญอื่นๆในย่างกุ้งด้วย
เรื่องโรงแรมจะรีวิวต่างหากในกลุ่ม โรงแรมและที่พักค่ะ
เจดีย์ชเวดากอง แปลกันตรงตัวคือ"เจดีย์ทองเมืองตะโกง" งามมากแม้แดดจะเปรี้ยงก็ตาม ถ้าจะมาชเวดากอง ขอแนะนำให้มาสักประมาณ 3-4โมงเย็น จะไม่ร้อนมาก เดินเที่ยวแล้วนั่งรอให้ตะวันตกดินจะงามกว่าตอนกลางวันมากนัก ผู้คนคึกคักกว่าด้วย
ค่าเข้าชเวดากอง 5 เหรียญยูเอสค่ะ
งานสลักไม้ของพม่าที่ศาลาของเจดีย์ชเวดากอง อันนี้ของเก่า งามมาก งานสลักไม้นั้นพม่ากินขาดค่ะ ฝีมือเหนือใครๆในอุษาคเนย์(ช่างชาวชวาตามมาติดๆ)
เจดีย์ที่มีความสำคัญต่อจากชเวดากองในย่างกุ้งคือ "เจดีย์สุเล" ซึ่งเดินจากโรงแรมมาเพียง 5 นาทีก็ถึงแล้ว งามมากเช่นกัน ประวัติความเป็นมาไปหาอ่านกันเองแล้วกันนะคะ
แต่ที่ขัดหูขัดตามากที่เจดีย์สุเล นี้คือการสร้างห้องแถวแบบประชิดองค์พระเจดีย์เลย น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก ไม่รู้รัฐบาลพม่ายอมได้ยังไง ถ้าเราเป็นนายพลผู้นำล่ะก็ สิ่งแรกที่จะทำคือรื้อไอ้ห้องแถวพวกนี้ออกให้หมด
พระพุทธรูปที่เจดีย์โบทาทอง อ่านออกเสียงแบบพม่าผิดขออภัยด้วย(แปลว่า ทหาร 1000 นาย) เป็นเจดีย์ที่ประดิษฐานเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า ตอนที่นำพระเส้นเกศารอนแรมมาจากอินเดียนั้น กษัตริย์พม่า(พระองค์ใดลืมไปแล้ว)โปรดให้นายทหาร 1000 นายไปคอยต้อนรับ
พระพุทธรูปอันงามพร้อมองค์นี้ เป็นองค์ที่พระเจ้ามินดง(พระราชบิดาของพระเจ้าสีป่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งระบบจักรวรรดินิยมของพม่า)ทรงโปรดฯให้หล่อขึ้น เมื่อพม่าเสียเมือง อังกฤษเลยเอาไปเก็บไว้ดูเล่นเป็นเวลาหกสิบปี เพิ่งคืนให้แก่ประชาชนของพม่าไม่นานมานี่เอง รัฐบาลเลยนำมาประดิษฐานที่วัดทหาร1000นายนี้
พระนอนในวัดที่ย่างกุ้ง คนไทยชอบเรียกว่าพระตาหวาน
ตอนที่ไปดูนั้น เจ้าไทดูๆแล้วก็บ่นเสียดายค่าแท็กซี่(ซึ่งถูกมาก 50 บาทเอง ขับตั้งนาน)
ถามมันว่าทำไม มันบอกว่า
"แม่ๆ sleeping Buddha ที่วัดใบไม้ที่กรุงเทพสวยกว่านี้ตั้งเยอะ"
นึกตั้งนานว่าวัดใบไม้คือวัดไหน วัดโพธิค่ะพ่อแม่พี่น้อง เนื่องจากมันเคยถามว่าคำว่า"โพธิ"แปลว่าอะไร เราบอกมันไปว่าเป็นใบไม้เมื่อหลายปีมาแล้ว
นึกๆดูก็ถูกของมันว่า พระพุทธรูปตามลักษณะไทยนั้น งามกว่าแบบพม่ามากๆ ของพม่านั้นยังจะติดอยู่กับลัทธิมหายาน คือพระกรรณยาว พระพักต์สั้น องค์นั้นใหญ่และหนา แล้วจะเอารูปมาให้ดูตอนต่อไป
เมื่อเปรียบเทียบกับพระนอนวัดโพธิของเรา เทียบกันไม่ได้ค่ะอันนี้พี่ไทยกินขาด
โรงแรม Strand ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่มีชื่อเสียงของพม่า และแน่นอนแพงที่สุดๆ เทียบกับเมืองไทยก็ต้องเป็นโรงแรมโอเรียนเต็ลที่บางกอก
โรงแรมสแตรนท์นี่ ห้องต่ำสุดอยู่ที่ 800 เหรียญยูเอส เทียบกับค่าแรงหัวเฉลี่ยของพลเมืองพม่าแล้วน่าเกลียดมาก (ค่าแรงรายเดือนของคนพม่า อยู่ที่ 22 เหรียญยูเอสเท่านั้น)
เข้าไปเดินดูข้างในแล้ว โรงแรมดูเล็กกว่าที่เราคิดไว้มากๆ ไม่โอ่โถงรโหฐานเหมือนโรงแรมโอเรียนเต็ล (อ่านว่าโอ-เรียน-เต็น ไม่ใช่โอเรียนทอล ดิฉันไม่ใช่ลิเกเก่า กระดกลิ้นอย่างงั้นไม่เป็น)
แต่คลาสิกที่สุด ทุกอย่างทำด้วยไม้สักทอง ลิฟท์ก็เป็นแบบเก่าคือแบบเป็นประตูเหล็กเลื่อนปิดเปิดด้วยมือเหมือนประตูห้องแถว เก๋ซะไม่มี
เจ้าไทแวะกินเจลาโต้ที่นี่ด้วย แพงมากก้อนละ 4 เหรียญยูเอส มันกินสองก้อน พ่อแม่ได้แต่นั่งดู(บอกแล้วว่ามันแพง)
ลืมรูปประทับใจที่ชเวดากอง ตอนเย็นๆเป็นเวลาที่ควรมาชมมหาเจดีย์แห่งนี้มากที่สุดเพราะแดดไม่ร้อน แสงสวยถ่ายรูปออกมาดี คนพม่ามานั่งไหว้พระเยอะมาก แบบประเภทสาวๆวัยรุ่นจับมือมาเที่ยววัดกับแฟน แทนที่จะมาหาที่พลอดรัก ทั้งสองกลับมานั่งสวดมนต์ไหว้พระ
ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวพม่านั้น มีมากมายเหลือเกิน มากกว่าชาวสยามหลายสิบปีแสง ตามกันอีกห้าชาติก็ไม่มีทางทัน เท่าที่เห็นมา
1 เด็กพม่าหกเจ็ดขวบ อาราธนาศีลคล่องปรื๋อ ในที่นี้มีกี่คนที่ยังอาราธนาศีลได้
2 ทุกวัดในพม่าจะมีชาวบ้านมานั่งสวดมนต์หลายสิบคนทุกวัด ไม่ใช่แค่กราบพระก้นโด่งสามครั้ง จุดธูปจุดเทียนขอพระแล้วจบกันไป แต่จะสวดมนต์ครั้งละนานเป็นชั่วโมงเลยก็มี แล้วก้ไม่ใช่แค่คนแก่ หนุ่มสาวมากมายที่มาสวดมนต์ที่วัด
3 สิบวันในพม่า เราไม่เคยเห็นพระพุทธรูปเศียรขาดหรือพระกรแม้แต่องค์เดียว ไม่ว่าจะเป็นวัดในเมือง หรือพุกามซึ่งมีวัดมากเป็นพันๆวัด ความกลัวนรกจะกินหัวของชาวพม่านั้นมากกว่าชาวสยามแน่นอน แม้ไม่มีจะกินก็ไม่คิดจะขโมยตัดเศียรพระ หิริโอตัปปะของชาวพม่านั้นสูงส่งมาก ขอยกย่องด้วยความจริงใจ
4 ชาวพม่าถอดรองเท้าตั้งแต่ก่อนเหยียบเข้าเขตวัดเลย ไม่ใช่ถอดแค่ตอนจะเข้าอุโบสถเหมือนชาวไทย รวมไปถึงถุงเท้า ถุงน่อง ต้องถอดหมดค่ะ ชาวพม่าถึงขมขื่นมากเมื่อตกเป็นขี้ข้าอังกฤษ เพราะชาวอังกฤษไม่ยอมถอดรองเท้าถุงเท้าเมื่อเข้าวัดพม่า แถมยังทำหอคอยเฝ้ายามบนพระเจดีย์ที่ชาวพม่านับถือเพื่อจะเอาไว้ดูต้นทางศัตรู
ประมาณ 5-6โมงเย็นที่ชเวดากอง ชาวบ้านสาวหนุ่มจะมากวาดลานวัด แบบเรียงหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ไม้กวาดคนละอัน กวาดเวียนไปจนครบรอบวัด กลุ่มนี้เสร็จแล้วมีกลุ่มสองกลุ่มสามรอกวาดอยู่ ว่ากันว่าได้บุญมาก
เรานั่งดูอยู่ตั้งแต่สี่โมงเย็นจนสองทุ่ม ยิ่งมืดคนยิ่งเยอะ ประทับใจในความงามขององค์พระเจดีย์และชาวพม่ามากๆ
ทุกร้านค้าหรือบริษัทในพม่าต้องมีไอ้นี่...เครื่องปั่นไฟ
เพราะว่ารัฐบาลพม่าไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้เท่ากับความต้องการของประชาชนได้ (สงสัยมากว่าทำไม ในเมื่อทรัพยากรธรรมชาติล้นเหลือ) ไฟฟืนที่นี่จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวดับเดี๋ยวดับ ทุกร้านค้าจึงมีเครื่องปั่นไฟ
จะนอนโรงแรมไหน เช็คก่อนว่ามีเครื่องปั่นไฟหรือเปล่า เพราะเกิดไปหลงนอนโรงแรมที่ว่ามีแอร์ แต่เครื่องปั่นไฟไม่มี เป็นเรื่องค่ะพี่น้องเพราะย่างกุ้งร้อนพอๆกับกรุงเทพ
ลืมเล่าค่ะลืมเล่าว่า ไปย่างกุ้ง ห้ามพลาดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของพม่าด้วยประการใดๆทั้งปวง
ตอนแรกเราจะไม่ไปแล้ว เพราะอ่านในหนังสือโลนลี่แพลเน็ตว่าไม่ค่อยมีอะไรดู (อย่างที่บอกในตอนแรกค่ะ หนังสือของสำนักพิมพ์นี้ต้องฟังหูไว้หู เชื่อมากไม่ได้ เพราะเป็นแค่ความคิดเห็นของฝรั่งสามสี่คนเท่านั้น)
มีเรื่องบังเอิญด้วยที่นี่ ตอนที่เราจ่ายสตางค์(5 เหรียญยูเอส ไม่รับเงินจั๊ต) มีเจ้าหน้าที่คนนึงเดินมาถามเราว่า ต้องการไกด์พาดูไหม จะมีการอธิบายอย่างละเอียด
ทีแรกเราบอกไม่ต้อง เพราะเราต้องการความเป็นส่วนตัว อยากรู้อะไรก็อ่านที่คำบรรยายเอา
คุณคนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ถามว่าเรามาจากไหน
เราบอกว่าเรามาจากโยเดีย (คนพม่าเรียกคนไทยและเมืองไทยอย่างน่ารักว่า โยเดีย-แผลงมาจากคำว่าอโยธยา เวลาเราบอกใครว่า I'm from Yodia ก็เหมือนพูดว่า "อิฉันเป็นคนกรุงศรีฯเจ้าค่ะ" น่ารักน่าเอ็นดูหยอกอยู่เมื่อไร)
คราวนี้ล่ะพี่แกตื่นเต้นโคตรๆๆ โอ้โยเดีย ไอเคยไปฝึกงานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่บางกอกมาแล้วสามเดือน สวยงามสง่ามาก ไม่เหมือนไอ้ตึกกล่องไม้ขีดบ้าๆนี่(เป็นความสัตย์ เห็นตึกแล้วขัดใจมาก เป็นตึกสี่เหลี่ยมไม่มีคาแร็กเตอร์อะไรเลย แบบที่สหภาพโซเวียตนิยม ตึกโคโลเนียลเก่าๆงามๆเยอะแยะไม่รู้จักเอามาทำพิพิธภัณฑ์ รอให้แม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลพม่าเสียหน่อยเถอะ)
เราเลยบอกไปว่า โรงเรียนที่ไอเคยเรียนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอยู่รั้วติดกันกับพิพิธภัณฑ์เลย
โอ้ๆๆๆๆ Thammasat university คุณพี่ดีใจเนื้อเต้นเหมือนเจอเพื่อนเก่า กระโดดขึ้นกระโดดลงโหยงเหยง
แล้วไงล่ะ เราเลยถามว่า ไอ้ค่าป่วยการเป็นไกด์ของพี่น่ะ มันกี่หมื่นกี่แสนกัน
คุณพี่บอกว่า 5 เหรียญยูเอสเท่านั้นเอง
อพิโธ่อพิถัง มาเหอะ ยูเป็นไกด์ให้ไอก็ได้ ถือว่าช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ห้าเหรียญนี่ไอซดสตาบัคแก้วเดียวสามสี่โฮกก็หมดแล้ว (คุณพี่เพิ่งมาบอกทีหลังว่า เงินเดือนพี่เขาได้แค่เดือนละ 50 กว่าเหรียญยูเอสเท่านั้นเอง-ประมาณ2000บาท)
เป็นห้าเหรียญที่เสียไปอย่างคุ้มค่ามากเพราะพี่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
เข้าไปดู สีหาสนบังลังก์-The Loin Throne แล้วอิชั้นเข่าอ่อนค่ะ
ยิ่งใหญ่อลังการมากเป็นบุญตาสมกับที่ได้เกิดมาทีเดียว งามมากกว่าที่จะเขียนเป็นคำพูดได้ แสดงความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ของราชวงค์คองบองไว้อย่างดี
กษัตริย์พม่าจะมีบัลลังก์อยู่ 9 บัลลังก์ด้วยกัน ตั้งชื่อตามสัตว์หรือดอกมไมงคล 9 ชนิด แต่ละบัลลังก์จะใช้ในโอกาสที่แตกต่างกันออกไป
เช่นสีหาสนบัลลังก์ หรือบัลลังก์สิงห์ ประดิษฐานในมหาปราสาทพระราชวังมัณฑะเลย์เดิม เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และอัครมเหสีเวลาออกมหาสมาคมเต็มยศใหญ่
น่าเสียดายว่า อีก 8 บัลลังก์นั้นได้ถูกไฟไหม้หมดแล้วพร้อมกับพระราชวังมัณฑะเลย์ คราวที่ฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สอง
สีหาสนบัลลังก์รอดมาได้ เพราะอังกฤษขนย้ายไปที่พิพิธภัณที่เมืองกัลกัตตาในอินเดีย
ข้างบนชั้นสองหรือชั้นสามจำไม่ได้ มีการแสดงเครื่องราชกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภคของพระเจ้าสีป่อและพระนางสุภยลัต(กษัตริย์และอัครมเหสีองค์สุดท้ายของพม่า)
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ทุกอย่างทำด้วยทองค่ะ ทองแท้ร้อยเปอเซ็นต์แถมยังฝังเพชร ทับทิม มรกตอย่างงามวิจิตร เช่นกระโถนบ้วนน้ำหมากของพระนางสุภยลัต กระจกเงาส่วนพระองค์ พระแสงทองคำ ของเหล่านี้อังกฤษนำไปเก็บไว้ที่ Victoria and Albert Museum นานหลายสิบปีจนรัฐบาลพม่าทวงคืนมาส่วนหนึ่ง อีกส่วนยังไม่ยอมคืนค่ะ
กระโถนบ้วนน้ำหมากพระนางสุภยลัต
รองพระบาทพระเจ้าสีป่อ
ที่รองคางถ้าทรงเมื่อย(ขออภัยไม่รู้ราชาศัพท์จริงๆ)
เชี่ยนหมากพระนางสุภยลัต
อลังการเหลือพรรณา
ที่นี่มีชิ้นอื่นๆที่อังกฤษยังไม่ยอมคืนจำลองเอาไว้ให้ดูด้วย
เราใช้เวลาที่นั่น 4 ชั่วโมง กลับมาโรงแรมรีบมาบอกสามีว่า พรุ่งนี้เธอไปดูเสียเหอะ ไม่ดูแล้วจะเสียใจ อย่าไปเชื่อไอ้หนังสือโลนลี่แพลเน็ตเป็นอันขาด
หนังสือประเภทนี้ต้องอ่านแล้วเชื่อแค่ครึ่งหนึ่งพอ
นี่ถ้าโลนลี่แพลเน็ตแล้วไม่ได้มาดูพิพิธภัณฑ์แห่งชาติพม่าล่ะก็ เสียใจตายเลย
งานนี้ผัวเมียต้องผลัดกันไปดูเพราะอีนังไทมันไม่เอาด้วย มันจะเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำลูกเดียว อันนี้เข้าใจมันนะ เพราะฉะนั้นเราต้องหาอะไรที่จะเอ็นเทอเทนลูกด้วย ไม่ใช่เอาแต่พ่อแม่ฝ่ายเดียว
**Useful Tips**
*ที่สนามบิน ท่ารถไฟ ท่ารถโดยสารอะไรก็ตาม เมื่อถึงแล้ว เกาะกระเป๋าของคุณไว้ให้ดีๆ อย่าให้ใครมาแตะเลย เพราะสถานที่เหล่านี้ในพม่าวุ่นวายสับสนมากๆไม่รู้ว่าใครคือใคร ถ้ามีคนมาขอหางตั๋วที่คุณเช็คกระเป๋า ไม่ต้องให้เขาไป บอกว่าเดี๋ยวคุณไปเอากระเป๋าเอง ไม่งั้นต้องเสียทิป เสียให้กับคนๆเดียวก็ไม่ว่ากัน แต่ที่นี่จะมีหลายคนมากมาขอทิป
*การแลกเงินจั๊ตในพม่า ถามโรงแรมที่คุณพักก่อนว่า เรตเท่าไร แล้วลองถามโรงแรมแถวๆที่คุณพักด้วย ครั้งแรก เราเดินไปแลกเงินที่ Than Than Travel ที่ชั้น 14 ตึกซากุระ(ห่างจากโรงแรมเรานิดเดียว) ซึ่งเป็นที่ๆคนไทยชอบไปแลก กลับมาถามที่โรงแรมปรากฏว่าเรตเดียวกันเลย
ไม่แนะนำให้แลกเงินกับคนที่เข้ามาถามว่าตามถนนหนทาง เพราะ คุณไม่มีเวลานับเงินอย่างสะดวก ทุกอย่างเร่งรีบ(อย่าลืมว่าตามเทคนิคแล้วมันผิดกฏหมายพม่าในการแลกเงินในตลาดมืด) เขาอาจจะโกงคุณโดยเอาแบ็งค์เก่าๆยัดไส้ไว้
ถ้าคุณแลกเงินที่โรงแรมที่พัก บอกเขาว่าขอเข้าไปนับเงินในออฟฟิซด้านหลังหรือให้คนถือเงินไปให้คุณนับในห้องของคุณ อย่านับเงินในที่สาธารณะ คนพม่าใจดี เรื่องขโมยมีน้อย แต่อย่าลืมว่าเงิน 100 ดอลล่าร์ แลกเงินพม่าได้ 100,000จั๊ดกับเศษๆ นั่นคือเงินเดือนของชาวพม่าธรรมดาถึง 4 เดือน กันไว้ดีกว่าแก้
เวลาแลกเงิน วางแบ็งค์ดอลล่าร์ไว้บนโต๊ะ บอกเขาว่าขอนับเงินก่อน เมื่อนับเงินจั๊ตเสร็จ ค่อยเอาดอลล่าร์ให้เขาไป แบบยื่นหมูยื่นแมว
*เวลาไปเที่ยวเจดีย์ต่างๆในพม่า ควรเอาถุงพลาสติกติดเป้ไปด้วย ถอดรองเท้าปุ๊บยัดใส่ถุงเอาถุงใส่เป้เลย เพราะจะได้ไม่ต้องห่วงว่ารองเท้าจะหาย และหลายๆเจดีย์มีทางขึ้นลงมากกว่า 1 ที่ จะได้ไม่ต้องมาเดินหารองเท้าตอนกลับค่ะ
*แท็กซี่ในย่างกุ้งไม่แพง เมืองย่างกุ้งก็เล็กเมื่อเทียบกับกรุงเทพ จะไปไหนในย่างกุ้ง เรียกแท็กซี่ราคาไม่มีเกิน 2000จั๊ต ลองถามโรงแรมก่อนว่าไปที่นั้นที่นี้ราคาประมาณเท่าไร
|
วันที่ 14 พ.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,147 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,136 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,170 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,178 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,427 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,138 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,161 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 12,583 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,505 ครั้ง |
เปิดอ่าน 27,002 ครั้ง |
เปิดอ่าน 11,559 ครั้ง |
เปิดอ่าน 16,850 ครั้ง |
|
|