การดำเนินงานใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ Hybrid Learning Ecosystem for EF โดยบูรณาการกระบวนการทั้ง 6 ขั้นของ DEAR Model และเชื่อมโยงเป็นลำดับขั้นการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ข้าพเจ้าพัฒนานวัตกรรมศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 เพื่อทำความเข้าใจเป้าหมายการพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 36 ปี โดยเฉพาะการจัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสาร และการพัฒนาทักษะด้านสติปัญญาและภาษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 67) รวมทั้งศึกษาแนวคิดระบบนิเวศการเรียนรู้ (Learning Ecosystem) และการจัดการเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning) ที่เน้นการเชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้ บุคคล สื่อ และกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างเหมาะสมกับวัย (OECD, 2018 : 21)
นอกจากนี้ ได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎี Executive Function (EF) ซึ่งเป็นความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง เช่น การจดจ่อใส่ใจ การยับยั้งชั่งใจ การวางแผน และการควบคุมอารมณ์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ในช่วงปฐมวัย (Diamond, 2016 : 339) รวมถึงแนวคิดการเรียนรู้ผ่านศิลปะสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการเล่น ซึ่งช่วยส่งเสริมการสื่อสาร และการเล่าเรื่องอย่างมีความหมายของเด็กปฐมวัย (Zosh et al., 2017 : 8)
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 แนวคิด EF และแนวคิด Hybrid Learning Ecosystem เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดของนวัตกรรม DEAR Model โดยพิจารณาความเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ระดับปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม รวมถึงจำนวนผู้เรียน 12 คน (ชาย 8 คน หญิง 4 คน) การวิเคราะห์ดังกล่าวช่วยให้เห็นแนวทางการบูรณาการศิลปะสร้างสรรค์เป็นสื่อกลางในการพัฒนา EF และการสื่อสารอย่างมีความหมายอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 9)
ขั้นที่ 3 วางแผนและออกแบบแผนการจัดประสบการณ์
วางแผนและออกแบบแผนการจัดประสบการณ์ในกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยบูรณาการ DEAR Model เข้ากับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม สื่อ วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการประเมินผลให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนา EF และการสื่อสารอย่างมีความหมายของเด็กปฐมวัย แผนการจัดประสบการณ์ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือก ลงมือปฏิบัติ ดัดแปลง และต่อยอดผลงานจากประสบการณ์เดิม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการจัดประสบการณ์แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 12)
ขั้นที่ 4 ทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรม
ข้าพเจ้าได้ทำความเข้าใจบทบาทของตนเองในฐานะผู้ออกแบบและอำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) เตรียมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน รวมถึงสื่อและแหล่งเรียนรู้ในระบบ Hybrid Learning Ecosystem ให้เหมาะสมกับวัยเด็กปฐมวัย การเตรียมความพร้อมดังกล่าวช่วยให้การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นและเอื้อต่อการเสริมสร้าง EF และการสื่อสารอย่างมีความหมาย (OECD, 2018 : 35)
ขั้นที่ 5 จัดประสบการณ์ในกิจกรรมสร้างสรรค์ (การดำเนินงานตาม DEAR Model)
ในส่วนของการดำเนินการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านศิลปะสร้างสรรค์ในขั้นนี้ ข้าพเจ้าได้ออกแบบให้เป็นการเรียนรู้แบบ Hybrid Learning Ecosystem for EF โดยเชื่อมโยงการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในห้องเรียน (On-site) กับการใช้สื่อ แหล่งเรียนรู้ และการสนทนาสะท้อนผลการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างเหมาะสมกับวัยเด็กปฐมวัย การจัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กมีบทบาทเป็นผู้เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ได้คิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ และสื่อสารประสบการณ์ของตนเองผ่านผลงานศิลปะ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดประสบการณ์ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 12)
กระบวนการจัดกิจกรรมบูรณาการทั้ง 4 ขั้นของ DEAR Model อย่างชัดเจน ได้แก่
1. D (Development) เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผน เลือกหัวข้อ เลือกวัสดุ และออกแบบผลงานศิลปะของตนเอง โดยครูทำหน้าที่กระตุ้นการคิดและตั้งคำถามเพื่อให้เด็กเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ กระบวนการนี้ช่วยส่งเสริมการคิดอย่างมีเป้าหมายและการวางแผน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Executive Function (EF) (Diamond, 2016 : 339)
2. E (Executive Function : EF) ระหว่างการทำกิจกรรม เด็กได้ฝึกการจดจ่อใส่ใจ การรอคอย การควบคุมอารมณ์ และการทำงานตามข้อตกลงของกลุ่ม เช่น การใช้วัสดุร่วมกัน การทำงานให้สำเร็จตามขั้นตอน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง อันเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ในระยะยาว (Diamond, 2016 : 340)
3. A (Active Learning) เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง ทดลอง ดัดแปลง และสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างอิสระ ทั้งรายบุคคลและกลุ่มย่อย เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากการกระทำ การลองผิดลองถูก และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุกและการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาและภาษา (Zosh et al., 2017 : 8)
4. R (Review) เด็กได้นำเสนอผลงานศิลปะของตนเอง เล่าเรื่องราว ความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน พร้อมทั้งสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ของตนเองที่ได้รับ โดยครูและเพื่อนร่วมกันสนทนา ตั้งคำถาม และให้ข้อเสนอแนะเชิงบวก กระบวนการทบทวนดังกล่าวช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างมีความหมาย การเล่าเรื่อง และการเชื่อมโยงประสบการณ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 15)
การบูรณาการ Executive Function (EF), Active Learning และการ Review ผ่านการเล่าเรื่องและการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ภายใต้ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบไฮบริด ทำให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม ทั้งด้านสติปัญญา ภาษา อารมณ์จิตใจ และสังคม อันสอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาปฐมวัยที่มุ่งพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน (OECD, 2018 : 35)
ข้าพเจ้าได้ดำเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังนี้
1. ผู้วิจัยดำเนินการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนให้เหมาะสม โดยจัดให้มีมุมต่าง ๆ เช่นมุมสร้างสรรค์ มุมวิทยาศาสตร์ มุมบ้าน มุมหนังสือ โดยเฉพาะมุมสร้างสรรค์เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กในชีวิตประจำวันเด็กสามารถหยิบจับวัสดุมาใช้ และเก็บเข้าที่ได้ด้วยตนเอง
2. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่หาง่าย เด็ก ๆ คุ้นเคย วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น สามารถหาได้ไกล้ตัว เช่น ต้นไม้ ก้อนหิน ใบไม้ ดอกไม้ แกนกระดาษชำระ กระดาษที่ใช้แล้วหน้าเดียว เป็นต้น
3. ทดสอบก่อนการทดลองเป็นรายบุคคล (Individual Test) ในกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม ตำบลโกสัมพี อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชรเขต 1 จำนวน 12 คน โดยใช้แบบวัดที่ข้าพเจ้าจัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาการสื่อสารอย่างมีความหมาย สำหรับเด็กปฐมวัย
4. ดำเนินการทดลองโดยใช้การจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อพัฒนาการสื่อสารอย่างมีความหมาย สำหรับเด็กปฐมวัย โดยข้าพเจ้าดำเนินการทดลองด้วยตนเอง
5. บันทึกพฤติกรรมการแสดงออกเพื่อพัฒนาการสื่อสารอย่างมีความหมาย สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์
6. เมื่อจัดประสบการณ์ครบสัปดาห์ นำข้อมูลมาวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของการสื่อสารอย่างมีความหมาย สำหรับเด็กปฐมวัย
7. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้วข้าพเจ้านำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติ เพื่อหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อสรุปผลการรายงานต่อไป
ระยะเวลาที่ใช้
3 พฤศจิกายน 2568 19 ธันวาคม 2568
ชุดนิยามศัพท์เฉพาะ
1. แผนการจัดการเรียนรู้สร้างสรรค์ หมายถึง เอกสารเชิงระบบที่ครูใช้เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง เปิดโอกาสให้คิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ทดลอง และแสดงออกอย่างอิสระ สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย และมุ่งเน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงมากกว่าการถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 3233)
2. การพัฒนาแผน หมายถึง กระบวนการปรับปรุง ออกแบบ และยกระดับแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน โดยอาศัยการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด ทฤษฎี และผลการสะท้อนจากการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2564 : 18)
3. ความสามารถในการบริหารจัดการตนเอง (Executive Function: EF) ของเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถทางสมองที่ช่วยให้เด็กปฐมวัยสามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตนเองได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ประกอบด้วยทักษะสำคัญ เช่น การจดจ่อใส่ใจ การยับยั้งชั่งใจ การจำเพื่อใช้งาน และการวางแผนแก้ปัญหา ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการเรียนรู้ การปรับตัวทางสังคม และความสำเร็จในการดำเนินชีวิตในระยะยาว โดยเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนา EF ได้ผ่านการลงมือปฏิบัติและกิจกรรมที่มีความหมาย (กรมสุขภาพจิต, 2563 : 67)
4. เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 36 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงพัฒนาการที่สำคัญทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เด็กในวัยนี้เรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่น การลงมือกระทำ และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว การจัดประสบการณ์การเรียนรู้จึงควรสอดคล้องกับธรรมชาติและศักยภาพของเด็กเป็นรายบุคคล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 910)
5. การสื่อสารอย่างมีความหมาย หมายถึง ความสามารถของเด็กในการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ของตนเองผ่านการพูด การเล่าเรื่อง การแสดงออกทางภาษา ภาพ หรือผลงานสร้างสรรค์ โดยผู้ฟังสามารถเข้าใจสาระและความหมายที่เด็กต้องการสื่อได้อย่างชัดเจน การสื่อสารอย่างมีความหมายช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา ความคิด และความมั่นใจในตนเองของเด็กปฐมวัย และเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่หลักสูตรปฐมวัยมุ่งเน้นให้เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 41)
ผลที่เกิดตามจุดประสงค์
การดำเนินการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านศิลปะสร้างสรรค์ โดยใช้นวัตกรรม DEAR Model ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning Ecosystem for EF) ส่งผลให้เด็กปฐมวัยปีที่ 2 มีพัฒนาการด้านการสื่อสารอย่างมีความหมายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการแสดงออกทางภาษา การเล่าเรื่องจากผลงานศิลปะ การสนทนาโต้ตอบ และการสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ที่มุ่งพัฒนาเด็กให้สามารถสื่อสารความคิดและความรู้สึกได้อย่างเหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 41)
ผลสัมฤทธิ์ของงาน
- เครื่องมือประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมายของเด็กปฐมวัย
แบบประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมายของเด็กปฐมวัย จากกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
- ลักษณะเครื่องมือ
เป็นแบบประเมินจากการสังเกต (Observation-based Assessment) ประกอบด้วยการพิจารณาพฤติกรรมเด็กขณะ สนทนาโต้ตอบ เล่าเรื่องจากผลงานศิลปะ นำเสนอชิ้นงาน สะท้อนความคิดและความรู้สึก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 52)
ประโยชน์ที่เกิดจากนวัตกรรม (อย่างละเอียด)
1. เด็กมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการเล่าเรื่องอย่างมีความหมาย
2. เด็กมีความมั่นใจในการแสดงออกและนำเสนอผลงาน
3. เด็กได้รับการพัฒนา Executive Function ผ่านการวางแผน ลงมือทำ และทบทวน
4. ครูมีเครื่องมือประเมินที่ชัดเจน สอดคล้องกับหลักสูตรปฐมวัย 2568
5. โรงเรียนมีนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่สามารถต่อยอดและเผยแพร่ได้
6. ผู้ปกครองเห็นพัฒนาการของเด็กอย่างเป็นรูปธรรมผ่านผลงานศิลปะ
ขั้นที่ 6 วัดและประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมาย
ประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมายของเด็กปฐมวัยจากการสังเกตพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบ การเล่าเรื่องจากผลงานศิลปะ และชิ้นงานที่เด็กสร้างขึ้น โดยใช้แบบประเมินตามสภาพจริงและการบันทึกพัฒนาการรายบุคคล การประเมินดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่เน้นการประเมินเพื่อพัฒนา (Assessment for Learning) ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 18)
4) วิธีการประเมินผล (๑๐ คะแนน)
1. การประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพจริง โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมด้าน EF และการสื่อสาร
2. การประเมินผลงานศิลปะจากชิ้นงานและการเล่าเรื่องประกอบผลงาน
3. การบันทึกผลการเรียนรู้รายบุคคลและรายกลุ่ม
4. การสะท้อนผลการจัดกิจกรรมของครูผู้สอน
ตัวชี้วัดการประเมิน (ประเมินรายบุคคล) (ตารางที่ 2)
1. เด็กสามารถอธิบายผลงานศิลปะของตนเองได้ด้วยภาษาของตน
2. เด็กสามารถเล่าเรื่องราวจากผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง
3. เด็กสามารถตอบคำถามหรือสนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับผลงานได้
4. เด็กสามารถสื่อสารความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดจากการทำกิจกรรม
5. เด็กมีความมั่นใจในการนำเสนอผลงานต่อผู้อื่น
คะแนน ระดับคุณภาพ ความหมาย
3 คะแนน มากที่สุด เด็กสามารถสื่อสารความคิด ความรู้สึก และเล่าเรื่องจากผลงานศิลปะได้อย่างชัดเจน ต่อเนื่อง ใช้ภาษาสอดคล้องกับวัย มีความมั่นใจ และสามารถสนทนาโต้ตอบได้อย่างเหมาะสม
2 คะแนน พอใช้ เด็กสามารถสื่อสารและเล่าเรื่องได้บางส่วน แต่ยังขาดความต่อเนื่อง หรือจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นจากครู
1 คะแนน ควรเสริม เด็กยังไม่สามารถสื่อสารหรือเล่าเรื่องได้ชัดเจน ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
* เกณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการประเมินพัฒนาการเชิงคุณภาพของเด็กปฐมวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 54)
การแปลผลคะแนน
คะแนนเฉลี่ย 2.513.00 = ระดับดีมาก
คะแนนเฉลี่ย 1.512.50 = ระดับพอใช้
คะแนนเฉลี่ย 1.001.50 = ระดับควรเสริม
ผลการประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมาย
เด็กปฐมวัยปีที่ 2 จำนวน 12 คน (ชาย 8 คน หญิง 4 คน)
สรุปผลคะแนนรายตัวชี้วัด (ค่าเฉลี่ย) (ตารางที่ 3)
ตัวชี้วัด ค่าเฉลี่ย
อธิบายผลงานศิลปะ 2.83
เล่าเรื่องจากผลงาน 2.75
สนทนาโต้ตอบ 2.67
สื่อสารความคิด/ความรู้สึก 2.75
ความมั่นใจในการนำเสนอ 2.92
คะแนนเฉลี่ยรวม = 2.78 (ระดับดีมาก)
การแปลผลเป็นร้อยละ
- เด็กระดับคุณภาพ มากที่สุด (3 คะแนน) = 10 คน = ร้อยละ 83.33
- เด็กระดับคุณภาพ พอใช้ (2 คะแนน) = 2 คน = ร้อยละ 16.67
- เด็กระดับคุณภาพ ควรเสริม (1 คะแนน) = 0 คน = ร้อยละ 0.00
การแปลความหมายของค่าร้อยละ
ร้อยละ 75 ของเด็กมีความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมายอยู่ในระดับมากที่สุด มากกว่าเป้าหมายที่กำหนด แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมสามารถส่งเสริมทักษะการสื่อสาร การเล่าเรื่อง และความมั่นใจของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาเด็กให้สื่อสารและแสดงออกอย่างเหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568 : 41)
สรุปผล
ผลการดำเนินนวัตกรรม DEAR Model ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านศิลปะสร้างสรรค์ แสดงให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมายได้อย่างชัดเจน กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้เด็กลงมือปฏิบัติจริง ผสานกับกระบวนการ Active Learning และ Review ทำให้เด็กสามารถสะท้อนความคิด เล่าเรื่องจากผลงาน และสื่อสารประสบการณ์ของตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย และส่งเสริม Executive Function โดยเฉพาะด้านการควบคุมอารมณ์ ความจำเพื่อใช้งาน และความยืดหยุ่นทางความคิด (กรมสุขภาพจิต, 2563 : 6)
5) ผลสำเร็จของการดำเนินงาน (๒๐ คะแนน)
การดำเนินนวัตกรรมนี้ได้นำประสบการณ์และเทคนิคจากนวัตกรรมเดิมของผู้พัฒนา คือ การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบ DER Model โรงเรียนบ้านดงซ่อม ปีการศึกษา 25662567 มาปรับใช้ โดยเปลี่ยนจุดเน้นจากทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กไปสู่การส่งเสริมการสื่อสารและการเล่าเรื่องอย่างมีความหมาย
ผลการดำเนินงานพบว่า เด็กปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม ปีการศึกษา 2568 มีพัฒนาการด้าน EF ดีขึ้น และมีความสามารถในการสื่อสารอย่างมีความหมาย ร้อยละ 84.35 ระดับคุณภาพ ดีมาก โดยจำแนกออกเป็น เด็กสามารถอธิบายผลงานศิลปะของตนเองได้ด้วยภาษาของตน ร้อยละ 84.72 ระดับคุณภาพ ดีมาก เด็กสามารถเล่าเรื่องราวจากผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 80.53 ระดับคุณภาพ ดีมาก เด็กสามารถตอบคำถามหรือสนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับผลงานได้ ร้อยละ 84.26 ระดับคุณภาพ ดีมาก เด็กสามารถสื่อสารความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดจากการทำกิจกรรม ร้อยละ 81.02 ระดับคุณภาพ ดีมาก และเด็กสามารถสื่อสารความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดจากการทำกิจกรรม ร้อยละ 91.20 ระดับคุณภาพ ดีมาก ส่งผลให้สามารถจดจ่อกับกิจกรรม วางแผนการทำงาน และควบคุมตนเองได้เหมาะสมกับวัย เด็กสามารถสร้างผลงานศิลปะที่มีความหลากหลาย แสดงความคิด ความรู้สึก และเล่าเรื่องราวจากผลงานของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น
6) แนวทางการต่อยอดและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ( ๑๐ คะแนน)
แนวทางการต่อยอดนวัตกรรมการเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning Ecosystem for EF
DEAR Model ระบบนิเวศการเรียนรู้แบบไฮบริด (Hybrid Learning Ecosystem) ผ่านศิลปะสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้าง EF และการสื่อสารอย่างมีความหมาย สำหรับเด็กปฐมวัย (หลักสูตร 2568)
ดังนี้
1. การขยายผล DEAR Model ไปยังระดับปฐมวัยชั้นอื่น การนำโมเดลไปใช้กับเด็กช่วงอายุที่ต่างกัน (อนุบาล 1-3) ต้องปรับความเข้มข้นให้สอดคล้องกับพัฒนาการ ระดับอนุบาล 1 (อายุ 3-4 ปี) เน้นขั้น E (Executive Function) ในด้านการยับยั้งชั่งใจและการปรับตัว (Inhibitory Control & Flexibility) ผ่านกิจกรรมศิลปะที่ใช้วัสดุที่สัมผัสได้ง่าย ไม่ซับซ้อน มุ่งเน้นการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กและการทำตามกติกาง่ายๆระดับอนุบาล 3 (อายุ 5-6 ปี) ยกระดับขั้น A (Active Learning) และ R (Review) ให้มีความซับซ้อนขึ้น โดยให้เด็กเป็นผู้ "ริเริ่มโครงการ" (Project-based) นำเสนอผลงานผ่านการใช้คำศัพท์ที่กว้างขึ้น และฝึกการวิพากษ์ผลงานอย่างมีเหตุผลเพื่อพัฒนาทักษะการคิดระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 7)
2. พัฒนาสื่อดิจิทัลและแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมในระบบ Hybrid Learning Ecosystem เพื่อให้ Ecosystem สมบูรณ์และไร้รอยต่อระหว่างบ้านและโรงเรียน Interactive Digital Learning Space พัฒนาห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หรือแอพพลิเคชั่นง่ายๆ ที่รวบรวมวิดีโอสาธิตการสร้างสรรค์ศิลปะในขั้น D ที่เด็กและผู้ปกครองสามารถเข้าดูร่วมกันได้จากที่บ้าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 25)
3. บูรณาการนวัตกรรมกับสาระการเรียนรู้อื่น เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ปฐมวัย
นำแนวคิด DEAR Model ไปบูรณาการเข้ากับสาระที่ควรเรียนรู้ทั้ง 4 สาระ โดยเน้นการจัดประสบการณ์ที่ยึดเด็กเป็นสำคัญ เพื่อให้เด็กได้ฝึกทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ และการใช้ภาษาในการสื่อสารผ่านชิ้นงานศิลปะ อันเป็นการปูพื้นฐานทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 34)
4. พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาและครอบครัว ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะสมอง (EF) ของเด็กอย่างต่อเนื่องเมื่ออยู่ที่บ้าน เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการพัฒนาเด็กอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นบทบาทสำคัญของครอบครัวในการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมการศึกษาตามหลักสูตร (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 41)
5. Parental Engagement Model ต่อยอดสู่การสร้าง "DEAR at Home" โดยการอบรมผู้ปกครองให้เข้าใจหลัก EF เพื่อให้สามารถใช้คำถามกระตุ้นในขั้น Review เมื่อเด็กอยู่ที่บ้าน เป็นการสร้าง Ecosystem ที่แข็งแกร่งที่สุด
6. PLC for EF Development สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ระหว่างครูในโรงเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนเทคนิคการตั้งคำถามในขั้น R และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในขั้น A เพื่อให้โมเดลได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ
๗) การเผยแพร่นวัตกรรมการศึกษา ( ๑๐ คะแนน )
1. เผยแพร่ผ่านช่องทางดิจิทัล OBEC Content Center
2. เผยแพร่ผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
3. จัดทำรายงานนวัตกรรมและเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ของสถานศึกษา