บทคัดย่อ
ชื่อเรื่องวิจัย การพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4
ปีการศึกษา 2568
ชื่อผู้วิจัย นายนารา บุญมา
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง การพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวโดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Selection) เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที 1/4 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จำนวน 25 คน ทดลอง 4 สัปดาห์ รวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไว และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติค่าที ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน มีผลการทดสอบ สมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกสูงการก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 โดยผลการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว สถิติการวิ่งเก็บของ 10 เมตร (วินาที) ( X = 10.30 , S.D. = 1.22) ความคล่องแคล่วว่องไวสูงกว่าก่อนเรียน (X = 10.87 , S.D. = 1.04)
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา ผู้เรียน ให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์เห็น คุณค่าของตนเอง มีทักษะชีวิต รักการออกกาลังกาย เพื่อการมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยที่ดี มุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด สมรรถนะ ความสามารถในการ แกปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของเหตุและผล สามารถ ใช้ทักษะชีวิต และน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจ าวันได้ด้วยตนเอง เกิดการ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย การสร้างเสริมสัมพันธภาพอันดีระหว่างบุคคล จัดการ ปัญหาของสังคมและสิ่งแวดล้อม รู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ อันอาจส่งผลกระทบต่อ ตนเองและผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์การพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมแห่งความเป็นไทยสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 1-11 ) การทดสอบสมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้ให้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา และผู้เกี่ยวข้องภายในสถานศึกษาได้ทราบถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายของนักเรียนว่ามีภาวะ ทางด้านร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด และสามารถนำข้อมูลของนักเรียนมาปรับปรุงแก้ไขข้อ บกพร่อง แบบรายกลุ่มและแบบรายบุคคลได้และสามารถพัฒนาส่งเสริมความสามารถทางด้านกีฬา หรือส่งเสริมการออกกาลังกาย รวมทั้งการพัฒนาทักษะในการด าเนินชีวิตประจ าวันให้มีความสมดุลทั้ง ด้านความรู้ความสามารถ ตลอดจนการน ามาแก้ไขและปรับปรุงเทคนิควิธีด้านการฝึกซ้อมกีฬาและการ เรียนการสอนของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ครูผู้สอนสุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนคลองห้า(พฤกษชัฏฯ) ได้ ประสบปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา ซึ่งประเมินจากผลการทดสอบ สมรรถภาพทางร่างกาย และการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬารวมถึงการเรียนการสอนในรายวิชาพลคึกษา ของนักเรียนในปีการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไว อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ จากการศึกษาปัญหาดังกล่าวผู้วิจัย จึงได้น าแบบฝึกความคล่องแคล่ว ว่องไวแบบผสมผสานมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาสมรรถภาทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไว 2 ของนักเรียน ทั้งนี้เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียน การสอนพลศึกษาและน าไปปรับปรุงการฝึกซ้อมกีฬาให้แก่นักเรียนให้มีประสิทธิภาพต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อเปรียบเทียบความคล่องแคล่ววองไว่ ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน
สมมติฐานของ การวิจัย
1. นักเรียนที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน มีผลการทดสอบสมรรถภาพ
ทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกสูงการก่อนการฝึก
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาผลของความคล่องแคล่วว่องไวโดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยการศึกษา 2 ระยะ ได้แก่ ก่อนการฝึก (Pre-test) และหลังการฝึก (Post-test)
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม ปีการศึกษา 2568 จำนวน 33 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ¼ โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จำนวน 25 คน
ตัวแปรที่ใช้ศึกษา
ตัวแปรต้น ได้แก่ โปรแกรมแบบฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน
ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา
2. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไว
3. แบบฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน
นิยามศัพท์
1. ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) หมายถึง เป็นความสามารถของร่างกายและส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้รวดเร็วและถูกต้องในกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจงหรือ เปลี่ยน ลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เช่น วิ่งกลับตัว วิ่งเก็บของ วิ่งซิกแซ็ก เป็นต้น (เจริญ กระบวนรัตน์, 2545)
2. โปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน หมายถึง โปรแกรมการฝึกเพื่อใช้ในการฝึกความสามารถ ทางกลไกด้านความคล่องแคล่วว่องไวและการรวมเอารูปแบบการฝึกตั้งแต่ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 3 มา ผสมผสานกันตั้งแต่วิธีการฝึกระบบประสาท (ตารางเก้าช่อง) บันไดลิง การฝึกความคล่องแคล่วว่องไว
(รูปแบบการเคลื่อนไหวทั้ง5รูปแบบ X , M, H, Z, S)
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
1. นักเรียนมีการพัฒนาจากการฝึกโปรแกรมการฝึกแบบผสมผสานที่สามารถใช้กับผู้ทดสอบ
อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ทำให้นักเรียนมีความคล่องแคล่วว่องไวได้ดีขึ้น
3. ทราบถึงผลของการพัฒนาของการฝึกโปรแกรมฝึกแบบผสมผสานก่อนการฝึก (Pre -Test)
และหลังการฝึก (Post - Test)
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรต้น โปรแกรมแบบฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน
ตัวแปรตาม ผลการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว
บทที่ 2
เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ผู้วิจัยได้ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมเอกสาร บทความและตาราวิชาการ ต่างๆที่เกี่ยวข้อง มาเรียบเรียงและสรุปความสำคัญของเนื้อหาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย ดังหัวข้อต่อไปนี้
2.1 องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย
2.2 ความคล่องแคล่วว่องไว
2.3 การฝึกแบบผสมผสาน
2.4 แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว
2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย
องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา นันทนาการและเต้นรำประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Alliance for Health, Physical Education, Recreation and Dance : AAHPERD) จำแนกสมรรถภาพออกเป็น 2แบบ (William E Prentice,1999:5) คือ
1. ส่วนที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health-related Fitness) คือองค์ประกอบของสมรรถภาพที่ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ประกอบด้วยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อความทนทานของกล้ามเนื้อความทนทานของระบบ ไหลเวียนโลหิตและหายใจความอ่อนตัวและสัดส่วนร่างกาย
2. ส่วนที่สัมพันธ์กับทักษะทางกลไก(Motor Skill-related Fitness) คือองค์ประกอบของ สมรรถภาพที่เกี่ยวกับทักษะกลไก ประกอบด้วยความเร็วกำลังกล้ามเนื้อการทรงตัวความ คล่องแคล่วว่องไวเวลาปฏกิริยาตอบสนอง และการทำงานประสานสัมพันธ์ (Coordination) ที่ ส่งผลต่อความสามารถในการเล่นกีฬาหรือการออกลังกาย องค์ประกอบของสมรรถภาพสัมพันธ์กับ สุขภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อทักษะกลไกด้วยเช่นกัน การใช้องค์ประกอบกอบส่วนใดมากน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทำหรือชนิดของกีฬาที่เล่น
2.2 ความคล่องแคล่วว่องไว
ความคล่องแคล่วว่องไวเป็นความสามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยความสามารถขั้นพื้นฐาน คือมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วเคลื่อนไหวที่รวดเร็วการร่วมงานกันของกล้ามเนื้อและพลังงานของกล้ามเนื้อสามารถแบ่งความคล่องแคล่วว่องไวได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ (ชูศักดิ์เวชแพทย์และกันยา ปาละวิวัธน์, 2536)
2.2.1 ความคล่องแคล่วว่องไวทั่วไป (General agility) หรือเรียกว่าความคล่องแคล่วว่องไว ของทั่วทั้งร่างกาย เช่นการเล่นฟุตบอล ฟุตซอลเป็นต้น
2.2.2 ความคล่องแคล่วว่องไวเฉพาะส่วน (Specific agility) เป็นความคล่องแคล่วว่องไว เฉพาะส่วนของร่างกายในการเล่น เช่น การตีลูกฮอกกี้ เป็นต้น ความคล่องแคล่วว่องไวมีความสำคัญในกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งของร่างกายหรือส่วนหนึ่งส่วนใดได้โดยรวดเร็ว การออกได้เร็ว การหยุดได้เร็ว การเปลี่ยน ทิศทางได้รวดเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไวเป็นพื้นฐานของสมรรถภาพร่างกายที่ดีในกีฬาหลาย
ประเภทอย่าง เช่น บาสเกตบอล แบดมินตัน วอลเลย์บอล ฟุตบอลรวมถึงฟุตซอลด้วย
2.3 การฝึกแบบผสมผสาน
การฝึกแบบผสมผสาน หมายถึง การฝึกกล้ามเนื้อด้วยวิธีพลัยโอเมตริก ตามด้วยการฝึกความ คล่องแคล่วว่องไวในแต่ละชุดรวมเอารูปแบบของการฝึกก าลังพลังกล้ามเนื้อมาผสมผสานกับการฝึก ความ คล่องแคล่วว่องไวโดยฝึกกับความต้านทานในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งใช้ท่าฝึกที ่ใช้กลุ ่มกล้ามเนื้อเดียวกันหรืออาจจะฝึก ด้วยน้าหนักแล้วตามด้วยการฝึกแบบพลัยโอเมตริกทันทีซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย ชาวยุโรปเพื่อฝึกพัฒนาให้เกิดพลัง ระเบิดจัดเป็นแนวทางการฝึกที่มีประสิทธิภาพและเป็นการกระตุ้น ระบบประสาทและกล้ามเนื้อรวมทั้งการสร้าง ความหลากหลายในการฝึกซ้อมให้แก่นักกีฬา เช่น การ ฝึกกระโดดข้ามรั้วหลายรั้วแล้วตามด้วยการวิ่งบันไดลิง หรือ การฝึกกระโดดเท้าคู่ซิกแซก แล้วตามด้วย การวิ่งซิกแซกอ้อมกรวย การฝึกแบบผสมผสานควรเน้นการฝึกที่ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงหรือพลังงานของกล้ามเนื้อผสมผสานกับการเคลื่อนที่ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นกีฬาให้มากเป็นพิเศษ หรือการ
เคลื่อนไหวเฉพาะในกีฬาแต่ละประเภทการฝึกแบบผสมผสานมีความสำคัญต่อ สมรรถภาพของกลไก ของนักกีฬาที่ซับซ้อน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความแข็งแรง ก าลังความเร็วความอดทน ของกล้ามเนื้อและความอ่อนตัว (วิทยา เหมพันธ์, 2546, น. 6) หลักในการฝึกรูปแบบผสมผสานระหว่างการฝึกความเร็ว (Speed) ความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) และความว่องไว (Quickness) โดยมีหลักความสัมพันธ์ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เข้ามาเป็นหลักในการ ฝึกความคล่องแคล่วว่องไว และความคล่องแคล่วว่องไวในการฝึกนี้นักกีฬาที่มี
ความสัมพันธ์ของระบบประสาท และกล้ามเนื้อจะมีการเรียนรู้ที่รวดเร็ว กล่าวได้คือ การที่มีความสัมพันธ์กับระบบประสาทกล้ามเนื้อที่ดีนั้น จะท าให้ระบบประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ปฏิบัติการเคลื่อนไหวที่มีความยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสัมพันธ์ของระบบประสาท กล้ามเนื้อเป็นความสามารถทางด้านร่างกายที่ควบคุมให้ร่างกายเคลื่อนไหว อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง ในกีฬาฟุตซอลการใช้ทักษะในการใช้เท้าเลี้ยงลูกบอล เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการที่ นักกีฬาจะเพิ่มทักษะ หรือจะมีการพัฒนาการนั้น จึงขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อมีความสำคัญ มาก สำหรับเรื่องของความเร็วนั้นนเป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวในการที่จะเปลี่ยนตำแหน่งจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การพัฒนาความเร็วจึงต้องอาศัยการเพิ่มสมรรถภาพร่างกายในด้านอื่น ๆ เช่น การเพิ่มความ แข็งแรง ของกล้ามเนื้อ พลังกล้ามเนื้อ ความอ่อนตัว และความสัมพันธ์ของระบบ ประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนา ให้สมรรถภาพ ดังกล่าวมีความสามารถที่สูงขึ้น ต้องใช้การฝึกซ้อมที่มี
การเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับกีฬาชนิดนั้นๆ เช่น นักกีฬาฟุตบอล นักกีฬาเทนนิส นักกีฬาบาสเกตบอล และนักกีฬาวอลเลย์บอล นั้นต้องมีความเร็วที่แตกต่าง กัน เนื่องจากลักษณะการ ใช้สมรรถภาพทาง ในกีฬาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ในนักกีฬาฟุตซอลต้องใช้ ความเร็วในระยะสั้นต้องใช้ความคล่องแคล่วว่องไว การเปลี่ยนทิศทางที่รวดเร็ว ต้องใช้ความว่องไว แต่ในนัก กรีฑาต้องใช้ความเร็วและ ความอดทน เป็นต้น
2.4 แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว
2.4.1 วิ่งเก็บของ การวิ่งเก็บของ หมายถึง การวางไม้สองท่อนไว้กลางวงที ่อยู่ชิดเส้นตรงข้าม
เส้นเริ่มผู้รับการ ทดสอบยืนให้เท้าข้างหนึ ่งชิดเส้นเริ่มเมื่อพร้อมแล้วผู้ปล่อยตัวสั่ง "ไป" ให้ผู้รับการทดสอบวิ่งไปหยิบ ท่อนไม้ในวงกลม 1 ท่อน วิ่งกลับมาวางในวงกลมหลังเส้นเริ่มแล้วกลับตัววิ่งไปหยิบ ท่อนไม้อีกท่อน หนึ่งวิ่งกลับมาวางไว้ในวงกลมหลังเส้นเริ่มแล้ววิ่งเลยไปห้ามโยนท่อนไม้ถ้าวางไม่เข้าในวงต้องเริ่มต้นใหม่
2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สมบูรณ์ นิติอมรรัตน์ (2545) ได้ศึกษาการสร้างโปรแกรมฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว ว่องไวให้กับนักกีฬาบาสเกตบอล กลุ่มประชากรในการศึกษาเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลโรงเรียนปรินส์ รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งหมดจำนวน 30 คน โดยใช้เวลาในการฝึก 6 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 3 วัน คือวันจันทร์ วันพุธและวันศุกร์ ระหว่างเวลา 17.00 19.00 น.ท าการทดสอบ Semo Agility Test เพื่อวัดความคล่องแคล่วว่องไวก่อนและหลังการฝึกตามโปรแกรมที่สร้างขึ้นผลปรากฏว่า โปรแกรมฝึกซ้อมที่ได้สร้างขึ้นสามารถเพิ่มความคล่องแคล่วว่องไวให้กับนักกีฬาได้หลงจากนักกีฬาได้ ทำการฝึกซ้อมไปครบ 6 สัปดาห์ สุทธิรักษ์แสงกระต่าย (2550) ได้ศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกความคล่องแคล่วว่องไว และ เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการฝึกเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วว่องไวในกีฬาเทควันโดของ สมาคม ศิษย์เก่ายุพราช จังหวัดเชียงใหม่ที่ท าการฝึกซ้อมรวม 6 สัปดาห์อายุระหว่าง 14-16 ปี จำนวน 15 คน ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง ท าการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาทุกคนโดยใช้ แบบทดสอบความคล่องแคล่ว SEMO Agility Testผลที่ได้จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยของเวลาในการ ทดสอบความคล่องแคล่วก่อนและหลังการทดลองของนกักีฬามีความคล่องแคล่วว่องไวเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01
บุญเจือ สินบุญมา (2558) ได้ทางการศึกษาผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อความเร็วและความ คล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับประถมศึกษาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการฝึก แบบ ผสมผสานที่มีต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลชายชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 6 และเพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการฝึกแบบผสมผสานที่มีความเร็วและ ความคล่องแคล่ว ว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษา ได้แก่ นักกีฬาวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนวัดวิวิตตารามชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 6 อำเภอ บรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 2 จำนวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงเป็นกลุ่มตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการฝึก แบบผสมผสานที่มีต่อความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับประถมศึกษา
ผลการศึกษาพบว่าผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อความเร็วของนักกีฬาวอลเลย์บอลจากการ ทดสอบความเร็ว (Speed) ด้วยการวิ่งระยะทาง 50 เมตรพบว่าก่อนการฝึกมีเวลาเฉลี่ย 8.89 วินาที และ หลังการฝึกมีเวลาเฉลี่ย 8.44 วินาทีผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อความคล่องตัวของนักกีฬา วอลเลย์บอลด้วยการวิ่งเก็บของระยะทาง 10 เมตรก่อนการฝึกมีเวลาเฉลี่ยเท่ากบ 8.70 วินาทีและหลัง การฝึกมีเวลาเฉลี่ย 8.26 วินาทีและผลการเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการฝึกแบบผสมผสานที่มีผลต่อ ความเร็วและความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลชาย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ ระดับ.05
บทที่ 3
วิธีการดำาเนินการวิจัย
การศึกษา การพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ผู้วิจัยนำเสนอรายละเอียดดังหัวข้อต่อไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2568 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม จำนวน 33 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยทำการเลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ด้วยวิธีแบบเจาะจง (Purposive Selection) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 33 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน ที่มีโปรแกรมฝึกการเคลื่อนไหวแบบผสามผสาน เพื่อใช้สำหรับการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนใน สัปดาห์ที่ 1-4
2. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบสมรรถภาพร่างกายด้านความคล่องแคล่วว่องไว (แบบทดสอบวิ่งเก็บของ)
3. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้โปรแกรมการเคลื่อไหวร่างกายแบบผสมผสานผู้วิจัยดำเนินการดังนี้
1. ศึกษาค้นคว้าคู่มือ ต ารา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าและน ามาสร้างโปรแกรมการฝึกแล้วน าไป
3. นำร่างแผนการจัดการเรียนรู้ที ่มีโปรแกรมการฝึกแบบผสามผสานไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนในรายวิชาพลศึกษา ตรวจพิจารณาปรับปรุงแก้ไขด้านเนื้อหา พิจารณา ตรวจสอบเพื่อดูความ เหมาะสม
4. ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ให้ถูกต้องเหมาะสมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญโดยมีประเด็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ดังนี้
1) รูปแบบการฝึกที่เหมาะสมกับบริบทของชั้นเรียนและผู้เรียน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่ว ว่องไว (วิ่งเก็บของ)
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ท าการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยปฏิบัติดังนี้
1. เตรียมอุปกรณ์ สถานที่ สิ่งอ านวยความสะดวก ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2. เตรียมความพร้อมกลุ่มตัวอย่าง โดยดำเนินการดังนี้ - แจ้งวันเวลาการฝึกให้ชัดเจน - ชี้แจงกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติ การแต่งกายในขณะเก็บรวบรวมข้อมูล - อธิบายรายละเอียดและสาธิตวิธีการฝึกปฏิบัติตามโปรแกรมการฝึกให้กลุ่มตัวอย่าง เข้าใจถูกต้อง - ทกำารทดสอบและเก็บรวบรวมข้อมูลผลการทดสอบโดยแบ่งเป็น 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ก่อนการฝึก (Pre Test) ในสัปดาห์ที่ 1
ครั้งที่ 2 หลังการฝึก (Post Test) ในสัปดาห์ที่ 4
3. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามตารางแบบทดสอบที่กำหนดไว้กับกลุ่มตัวอย่าง
5.การวิเคราะห์ข้อมูล
รูปแบบการวิจัยและแบบแผนการทดลอง 12 รูปแบบการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีกลุ่มทดลอง (Experimental group) โดยใช้แบบแผนการทดลองที่มีกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว มีการทดสอบก่อน ทดลองและทดสอบหลังทดสอบ (One-Group Pretest-posttest Design) (พิษณุ ฟองศรี. 2552: 93)
ทดสอบหลังเรียน ทดลอง ทดสอบก่อนทดลอง
T1 X T2
สัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบการวิจัย
การทดสอบ
T1 หมายถึง การเก็บข้อมูลทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวก่อน
T2 หมายถึง การเก็บข้อมูลทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลัง
X หมายถึง โปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน
ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้
1. หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน แบบทดสอบสมรรถภาพที่ ผู้วิจัย นำมาใช้
2. ทดสอบความแตกต่างของคะแนนการทดสอบสมรรถภาพทางกายความคล่องแคล่วว่องไว ของนักเรียนภายในกลุ่ม โดย การทดสอบค่าที (t test)
3. ทดสอบประเมินสมรรถภาพทางกายความคล่องแคล่วว่องไว กลุ่มทดลอง ระหว่างก่อนการ ทดลอง และหลังการทดลอง 4 สัปดาห์ และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกาย ความคล่องแคล่วว่องไว ก่อนและหลังการทดลองของตัวอย่าง โดยการทดสอบค่า ที (t-test) โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
4. ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่า ที (t-test)
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้ โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนจากการเรียนรู้ โดยมีผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
นักเรียน สถิติวิ่งเก็บของ 10 เมตร (วินาที)
คนที่ 1 9.88
คนที่ 2 12.85
คนที่ 3 10.25
คนที่ 4 10.28
คนที่ 5 9.55
คนที่ 6 8.37
คนที่ 7 8.45
คนที่ 8 9.67
คนที่ 9 8.46
คนที่ 10 11.14
คนที่ 11 10.89
คนที่ 12 11.14
คนที่ 13 10.59
คนที่ 14 10.39
คนที่ 15 8.81
คนที่ 16 11.05
คนที่ 17 11.45
คนที่ 18 10.62
คนที่ 19 10.06
คนที่ 20 11.59
คนที่ 21 10.78
คนที่ 22 11.63
คนที่ 23 8.86
คนที่ 24 8.71
นักเรียน สถิติวิ่งเก็บของ 10 เมตร (วินาที)
คนที่ 25 12.4
X 10.30
S.D. 1.22
จากตารางที่ 4.1 พบว่า นักเรียนทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยผลการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว (สถิติวิ่งเก็บของ) เท่ากับ 10.30 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.22
ตารางที่ 4.2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการทดสอบความคล่องแคล่ว ว่องไว(สถิติวิ่งเก็บของ) ก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ใช้โปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน
จากตารางที่ 4.2 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวด้วยโปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน โดยก่อนเรียนมีสถิติ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.87 วินาที (S.D.= 1.04) และหลังจากได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวด้วยโปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน นักเรียนมีสถิติ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.30 วินาที (S.D.= 1.22) ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า นักเรียนที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน มีผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกสูงการก่อนการฝึก
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
การวิจัยการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ผู้วิจัยได้สรุป ผลการวิจัย อภิปรายผล และได้ให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาการพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
สมมติฐานของการวิจัย
1. นักเรียนที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน มีผลการทดสอบสมรรถภาพ
ทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกสูงการก่อนการฝึก วิธีการศึกษาวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที ่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปลายพระยาวิทยาคม
ปีการศึกษา 256ค จำนวน 200
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection)
เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 โรงเรียนคลองห้า จำนวน 25 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา(แบบฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน)
2. แบบทดสอบสมรรถภาพความคล่องแคล่วว่องไว (วิ่งเก็บของ 10 เมตร)
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปคำนวณหาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ทดสอบความแตกต่างของ คะแนนเฉลี่ยระหว่างก่อนการทดลอง (Pre-test) และหลังการทดลอง (Post-test) โดยใช้สถิติค่าที (Dependent samples t-test) เพื่อทดสอบสมมติฐาน
สรุปผลการศึกษาวิจัย
1. นักเรียนที่ได้รับการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวแบบผสมผสาน มีผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความคล่องแคล่วว่องไวหลังการฝึกสูงการก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
อภิปรายผล
ผลการวิจัยพบว่าความคล่องแคล่วว่องไวของนักเรียนชั้นมีธยมศึกษาปีที่1/4 ในก่อนการฝึก มีความแตกต่างจากหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 เนื่องจากมีการจัดการฝึกโดยการ ใช้ โปรแกรมแบบฝึกแบบผสมผสานโดยส่วนใหญ่เป็นการฝึกที่ให้คุณค่าทางด้านความคล่องแคล่วว่องไว อันเนื่องมาจากการออกก าลังกายต้องมีความคล่องแคล่วว่องไวซึ่งจะท าให้นักเรียนพัฒนาได้รวดเร็วใน รูปแบบการฝึกต่างๆซึ่งความคล่องแคล่วว่องไวเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วย ให้นักเรียน ประสบความสำเร็จในการออกก าลังกายขั้นพื้นฐานเพื่อนำไปสู่การเล่นกีฬาต่างๆต่อไปซึ่ง สอดคล้อง กับงานวิจัยของ(บุญเจือ สินบุญมา,2558) ได้ศึกษาผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อความเร็ว และความ คล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอลชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัด นครสวรรค์ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 2 จำนวน 30 คนพบว่า ผลการ เปรียบเทียบผลก่อนและหลังการฝึกแบบผสมผสานที่มีผลต่อความเร็วและความคล่องแคล่ว
ว่องไว ของนักกีฬาวอลเลย์บอลชายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 (สุชาติสุวรรณเบญจางค์ ,2545) ได้ท าการศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการฝึกเพื่อเพิ่มความ คล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาวอลเลย์บอล จำนวน 24 คนระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยได้แบ่งกลุ่ม ตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มควบคุม 12 คน ท าการฝึกทักษะกีฬา วอลเลย์บอลเดียวและกลุ่มทดลอง 12 คนทาการฝึกทักษะกีฬาวอลเลย์บอลร่วมกับการฝึกความคล่อง คล่องแคล่วว่องไว ผลของการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองที่ทาการฝึกทักษะกีฬาวอลเลย์บอลร่วมกับ การฝึกความคล่องแคล่วว่องไวเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01
ข้อเสนอแนะ
1. ครูผู้สอนควรเตรียมโปรแกรมการฝึก วิธีการจัดกิจกรรมการฝึกและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ พร้อมก่อนที่จะด าเนินการฝึก เพื่อให้การปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนเป็นไปตามลำดับขั้นตอนและ บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
2. ในการจัดโปรแกรมฝึกในแต่ละรูปแบบ ควรจัดโปรแกรมให้ครบทุกขั้นตอนเพื่อให้การฝึกเกิดประโยชน์สูงสุด