ชื่อผลงาน การบริหารจัดการชั้นเรียน ด้วย S A V E R Model เรื่อง ออมเป็น เห็นอนาคต รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนหนองทะเลวิทยา
1. ความสำคัญของผลงาน
1.1 ความสำคัญสภาพปัญหา
การออมเงินเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันมีความผันผวนสูง ทั้งค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่านิยมการใช้จ่ายที่เน้นความสะดวกและความพึงพอใจเฉพาะหน้า รวมถึงอิทธิพลของสื่อออนไลน์ที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมบริโภคตามกระแสอย่างรวดเร็ว ทำให้เยาวชนจำนวนมากขาดความตระหนักในการวางแผนการเงินและไม่เห็นคุณค่าของการออม ส่งผลให้เกิดปัญหาการใช้เงินเกินตัว ไม่มีเงินสำรองยามจำเป็น และขาดทักษะการบริหารจัดการทางการเงิน ขั้นพื้นฐาน ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในอนาคต สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชน มาตรา 54 กำหนดว่า รัฐต้องจัดการศึกษาให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ การศึกษาภาคบังคับต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2562 มาตรา 23 แนวทางการจัดการเรียนรู้การเรียนรู้ต้องเน้นทักษะ กระบวนการคิด การแก้ปัญหา การบูรณาการความรู้ การฝึกปฏิบัติจริง การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพตามความถนัด ความสนใจ และความแตกต่างระหว่างบุคคลการจัดการเรียนการสอนเรื่องการออมในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่ผ่านมายังเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาทางทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้นักเรียนเข้าใจว่า การออม เป็นเพียงเนื้อหาที่ต้องเรียน ไม่ใช่ พฤติกรรมที่ต้องปฏิบัติจริง ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างความรู้และการลงมือทำ อีกทั้งบรรยากาศภายในชั้นเรียนขาดแรงกระตุ้นที่ช่วยสร้างนิสัยการออมอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ไม่มีระบบติดตามพฤติกรรมการออมของนักเรียนอย่างเป็นรูปธรรม และครูไม่สามารถตรวจสอบหรือประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนได้อย่างต่อเนื่อง
จากสภาพปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องมีรูปแบบการบริหารจัดการชั้นเรียนที่ช่วยให้การเรียนรู้เรื่อง ออมเป็น เห็นอนาคต เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเกิดผลลัพธ์จริงในพฤติกรรมของนักเรียน ครูจึงนำแนวคิด SAVER Model (SSet Environment, AActive Learning, VValue Awareness, EEvaluate & Encourage, RReflection & Responsibility) มาใช้เป็นกรอบเพื่อพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้และส่งเสริมพฤติกรรมการออมให้เกิดขึ้นจริง โมเดลนี้มุ่งเน้นการจัดสภาพแวดล้อม การจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติจริง การสร้างแรงจูงใจ การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการสะท้อนคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการออม เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนเกิดเป็นนิสัยการออมที่ยั่งยืน สอดคล้องกัลป์ผลการวิจัยของ (ภาคีพันธ์, อ. และคณะ 2562) กล่าวไว้ว่า การสอนเรื่องการออมโดยใช้กิจกรรมการมีส่วนร่วม ทำให้นักเรียนมีทักษะการวางแผนการเงินดีขึ้น และมีนิสัยการออมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสอดคล้องกับหน่วย ออมเป็น เห็นอนาคต ที่เน้นการลงมือปฏิบัติและสะท้อนคิด รวมทั้งผลการวิจัยของ (แสงเดือน , พ.ศ. 2564) วิจัยเรื่อง การสร้างวินัยทางการเงินในวัยเรียน พบว่า การทำสมุดบันทึกรายรับรายจ่าย และสะท้อนพฤติกรรมผ่านกิจกรรมกลุ่ม ทำให้เด็กเกิดวินัยการออมอย่างต่อเนื่อง
ตรงกับขั้น V Value Reflection ของ SAVE R Model ทั้งนี้พบได้จากงานวิจัยด้านการสอนสังคมศึกษา/เศรษฐศาสตร์พื้นฐานสมาคมครูสังคมศึกษาแห่งประเทศไทย (2563) เสนอว่า การสอนเศรษฐศาสตร์ในระดับ ม.ต้น ควรเน้น การคิดก่อนใช้ การเห็นคุณค่าการออม การแก้ปัญหาทางการเงินในชีวิตประจำวัน เชื่อมโยงโดยตรงกับเนื้อหา ออมเป็น เห็นอนาคต รวมทั้งผลการวิจัยของ (ศศิธร, ค. 2564) การสอนเศรษฐศาสตร์ผ่านสถานการณ์จำลอง พบว่า การเรียนรู้แบบจำลองสถานการณ์ทำให้นักเรียนเกิดการคิดวิเคราะห์-คิดเชิงระบบ และมีทัศนคติด้านการออมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นำมาใช้ในขั้น A Active Learning
ดังนั้น การนำ SAVER Model มาใช้ในการบริหารจัดการชั้นเรียนเรื่อง ออมเป็น เห็นอนาคต จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการออมเท่านั้น แต่ยังช่วยปลูกฝังความรับผิดชอบ ความมีวินัย การวางแผนชีวิต และทักษะการจัดการทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบันและอนาคตของนักเรียนทุกคน
จากสภาพปัญหาดังกล่าวทำให้ครูผู้สอนได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการบริหารจัดการชั้นเรียน ด้วย S A V E R Model เรื่อง ออมเป็น เห็นอนาคต สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนหนองทะเลวิทยา พบว่า แม้นักเรียนส่วนหนึ่งจะเข้าใจแนวคิดของการออมในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ยังไม่มีวินัยทางการเงิน ขาดความต่อเนื่องในการออม และมักใช้เงินค่าขนมไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น ขนม น้ำหวาน ของเล่นชั่วครั้งคราว หรือสินค้าออนไลน์ตามเพื่อน โดยไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบหรือความจำเป็น ทำให้ไม่เหลือเงินออมเพียงพอในแต่ละสัปดาห์ บางคนถึงขั้นขอยืมเพื่อนหรือขอเงินเพิ่มจากผู้ปกครองเพื่อใช้จ่ายเกินความจำเป็น
1.2 แนวทางแก้ปัญหาและพัฒนา
จากการศึกษาสภาพปัญหาดังกล่าวครูผู้สอนมีการนำความรู้ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาปรับใช้กับ SAVER Model ดังนี้
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีทฤษฎีความมีวินัยในตนเอง,ทฤษฎีพัฒนาการเด็กของเพียเจต์ (Piaget) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการออม (Saving Concept)
2. สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี ในการบริหารจัดการชั้นเรียน
3. ออกแบบโมเดลในการบริหารจัดการชั้นเรียน
1. S Set Environment จัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมให้ส่งเสริมการออม
1.1 จัดมุม ออมวันละนิด ในห้องเรียน
1.2 ติดโปสเตอร์ เป้าหมายการออม
1.3 จัดโต๊ะให้เห็นกระปุกออมทรัพย์ประจำห้อง
2. A Active Learning ใช้กิจกรรมกระตุ้นความสนใจและลงมือปฏิบัติจริง
2.1 เล่นเกมการออมเป็น เห็นอนาคต
2.2 ให้แต่ละกลุ่มวางแผน วางแผนวิธีการออมในชีวิตประจำวัน
3. V Value Awareness สร้างความตระหนักและคุณค่าของการออม
3.1 สนทนากลุ่ม : ถ้าไม่ออมจะเกิดอะไรขึ้น
3.2 วิดีทัศน์ 3 นาที ฝันของคุณเป็นจริงได้ เริ่มต้นที่การออม
3.3 เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เช่น ค่าเดินทาง ค่าเรียนพิเศษ
4. E Evaluate & Encourage ติดตามประเมินผลและให้กำลังใจ
4.1 ชมเชยเฉพาะพฤติกรรมที่ดี เช่น ออมต่อเนื่อง
4.2 จัดกิจกรรมออมแบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงกลุ่ม
5. R Reflection & Responsibility สะท้อนผลและสร้างความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมการออม
5.1 ให้นักเรียนเขียนสะท้อนคิด ฉันเรียนรู้อะไรจากการออม
5.2 การนำเสนอผลงานออมเป็นรายบุคคล/รายกลุ่ม
5.3 ตั้งเป้าการออมระยะยาวของนักเรียนแต่ละคน
5.4 ปลูกฝังความรับผิดชอบต่อเงินของตนเอง
๔. นำไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เรื่อง ออมเป็น เห็นอนาคต
๕. เผยแพร่ผลงานในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมและ website ของโรงเรียนหนองทะเลวิทยา
2. วัตถุประสงค์และเป้าหมาย
2.1 วัตถุประสงค์
1. เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการออม
2. เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนผ่านกิจกรรมที่สนุก เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงชีวิตจริง
3. เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อการออมในระดับครอบครัวและชุมชน
2.2 เป้าหมาย
เชิงปริมาณ
1. นักเรียน 80 % ได้เรียนรู้ในห้องเรียนที่มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้
2. นักเรียน 80 % เข้าร่วมในการทำกิจกรรมตาม SAVER Model ผ่านกิจกรรมที่สนุก ได้ลงมือปฏิบัติจริง
3. นักเรียนอย่างน้อย 80 % มีทัศนคติที่ดีต่อการออมในระดับครอบครัวและชุมชนตาม SAVER Model
เชิงคุณภาพ
1. นักเรียนมีห้องเรียนมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้
2. นักเรียนมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมที่สนุก ได้ลงมือปฏิบัติจริงเข้าใจง่าย และเชื่อมโยงชีวิตจริง
3. นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการออมในระดับครอบครัวและชุมชนตาม SAVER Model