วิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนคำที่สะกดด้วยตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ
การเขียนภาษาไทยร่วมกับกระบวนการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning)
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตะโละดารามัน
1. ความเป็นมา/แนวคิด
ภาษาเป็นเครื่องมือในการคิด และการสื่อสาร มนุษย์ได้ใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารกับผู้ ที่อยู่รอบข้าง เพื่อ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความต้องการ บอกเล่า ไต่ถาม และเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ อีกมากมาย วิธีการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจระหว่างมนุษย์นั้นอาจกระทำได้หลายวิธีมนุษย์สามารถใช้ท่าทางเป็นสื่อแสดงออกทางสีหน้า สายตา ตลอดจนเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน ทักษะทางภาษาจะประกอบไปด้วย การฟัง การอ่าน การพูดและการเขียน ทักษะที่สำคัญที่ทำให้ทักษะทุกทักษะประสบความสำเร็จคือ ทักษะการอ่าน ก่อเกิดภูมิปัญญาอันจะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล เมื่อมนุษย์คิดภูมิปัญญาขึ้นมาได้ ก็จะ เขียนบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ การเขียนเป็นกลไกสำคัญในการสื่อสาร และการจะเขียนสิ่งต่าง ๆ ได้ก็ต้องอาศัย ภาษาประกอบการสร้างตามหลักภาษานั้น ๆ จะเห็นได้ว่าการที่เราจะเขียนสื่อสารสิ่งใดนั้นจะต้องประกอบด้วย โครงสร้างภาษา และกลวิธีในการสื่อสาร จึงจะเป็นข้อความที่สมบูรณ
ในด้านการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ พบว่า นักเรียนยังขาดทักษะด้านการเขียนสะกดคำในตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา ได้แก่ มาตรากก มาตรากบ มาตรากด และมาตรากน ทำให้นักเรียนเขียนคำยังไม่ถูกต้อง ขาดความมั่นใจในการเขียน ขาดทักษะการเขียนภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนในรายวิชาภาษาไทยได้เล็งถึงปัญหาในด้านการเขียนภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จึงหาแนวทางการพัฒนาแก้ไขปัญหา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทักษะในด้านการเขียนอันจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาไทย และการศึกษาในระดับสูงต่อไป
หลักการและแนวคิด
ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านตะโละดารามัน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เอกสาร และ งานวิจัยดังต่อไปนี้
ความหมายของการเขียน การเขียน คือ การถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ความคิด ความต้องการ และความรู้สึกของบุคคลด้วยการ เรียบเรียงถ้อยคำข้อความออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือสัญลักษณ์ต่างๆเพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ นอกจากนี้ได้มีผู้ให้ความหมายของการเขียนไว้ดังนี้ วิจิตรา แสงพลสิทธิ์ และคณะ (2552 : 203) ได้ให้ความหมายของการเขียนไว้ว่า การเขียน คือ การ แสดงออกเพื่อการสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ โดยอาศัยภาษา ตัวอักษร และอุปกรณ์อื่นๆเป็นสื่อ เพื่อถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการและความเข้าใจทุกอย่างให้ผู้อื่นได้ทราบ สนิท ตั้งทวี (2558 : 153) ได้ให้ความหมายของการเขียน ไว้ว่า ทักษะการเขียนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก กว่าทักษะอื่น ๆ เพราะการเขียนเป็นการสื่อสารที่มีขั้นตอนหลายอย่าง เช่นผู้เขียนจะต้องนึกก่อนว่าจะเขียน อย่างไรจึงจะมีความหมายตรงกับความคิดของตนที่ต้องการจะถ่ายทอด การเขียนจึงเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสาร เป็นทักษะการส่งสารที่ซับซ้อนและต้องอาศัยทักษะ กระบวนการอื่นประกอบ เช่น ทักษะการสอน ทักษะการอ่าน กระบวนการคิด และทักษะการใช้ภาษาผู้เขียน จะต้องเป็นผู้ฟังมาก อ่านมาก มีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง มีกระบวนการคิดที่ดี และมีทักษะการใช้ภาษา ที่ดี สามารถเลือกคำสำนวน โวหารมาเรียบเรียงเป็นภาษาที่สละสลวยถูกต้อง และสื่อสารได้รับจากผู้ส่งสาร ดังนั้นสรุปได้ว่า การเขียนเป็นการสื่อสารของมนุษย์ซึ่งต้องอาศัยภาษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นสื่อ เพื่อ ถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ให้ผู้อ่าน การเขียนเป็นทักษะที่ค่อนข้างยาก ผู้เขียนจะต้องมีความรู้แลประสบการณ์ในการเขียนจึงจะสามารถช่วยให้การเขียนประสบความสำเร็จได้
การฝึกทักษะการเขียน
1. การฝึกทักษะการเขียนคำ จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ทำให้นักเรียนเข้าใจรูปแบบของระบบเสียงและการสะกด ผู้เรียนต้องเข้าใจว่าเสียงพูดกับการเขียนบางครั้ง การฝึกเชื่อมโยงเสียงกับรูปเขียนช่วยให้จำการสะกดได้แม่นยำ
2. การฝึกซ้ำและการใช้ในบริบทจริงคำที่ไม่ตรงตามมาตรามักต้องอาศัยการจดจำการเขียนบ่อย ๆ ในประโยคหรือเรื่องราว จะช่วยให้จำแม่นยำมากกว่าท่องเฉพาะคำ
3. การใช้สื่อและเทคนิคหลากหลายเช่น เกมการสะกดคำ บัตรคำ เพลง คำคล้องจอง เพื่อกระตุ้นความสนใจและความจำ
4. การพัฒนาทักษะการเขียนคำที่ไม่ตรงตามมาตรา ต้องใช้ทั้ง ความเข้าใจในระบบภาษา
การจำเป็นรายคำ และการฝึกใช้ในบริบทจริง โดยอาศัยสื่อและกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนเขียนได้ถูกต้องและสื่อสารได้อย่างมั่นใจ
2. วัตถุประสงค์
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้าน
ตะโละดารามัน สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาปัตตานี เขต 3
2.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มเป้าหมาย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านตะโละดารามัน สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา
ปัตตานี เขต ๓ จำนวน ๘ คน
2.3 ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย
ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการเขียนคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔
โรงเรียนบ้านตะโละดารามัน
2.4 ระยะเวลาในการศึกษา
4 พฤศจิกายน 2567 15 สิงหาคม 256๘
ตารางที่ 1 การวางแผนและการดำเนินงานวิจัย
วัน เดือน ปี กิจกรรม หมายเหตุ
4 พฤศจิกายน 2567 15 พฤษภาคม 256๘
- ศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา
- เขียนเค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน
- ศึกษาเทคนิคการสร้างแบบสอบถาม
-ออกแบบและสร้างแบบสอบถามที่จะใช้ในงานวิจัย
16 - 23 พฤษภาคม 256๘ - จัดกิจกรรมการเรียนรู้
24 พฤษภาคม - 15 สิงหาคม 2568 - เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
- สรุปและอภิปรายผล
- จัดทำรูปเล่ม
3. วิธีการดำเนินการ
๓.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน
ครูผู้สอนได้จัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔
ซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และหลักสูตรสถานศึกษา และเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คู่มือการจัดการเรียนรู้และผังมโนทัศน์และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
2) ศึกษาเอกสาร คู่มือ แบบเรียน เนื้อหา บทเรียนและจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อกำหนดขอบข่ายของเนื้อหาในการเรียนและกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการ
3) ศึกษาคำบัญชีพื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ วิธีการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะจากเอกสารต่าง ๆ เช่น เอกสารเสริมความรู้สำหรับครู คู่มือการสอนในรายวิชาภาษาไทย แบบฝึกเสริมทักษะ และหนังสือคู่มือภาษาไทย
4) ดำเนินการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนภาษาไทย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
4.1) กำหนดขอบเขตเนื้อหา โครงสร้างของแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย โดยกำหนดขอบเขตเนื้อหาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านตะโละดารามันโดยเลือกใช้คำบัญชีพื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ มาตราตัวสะกด มาตรากก มาตรากบ มาตรากด และมาตรากน ซึ่งเป็นตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา
4.2) จัดทำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกที่หลากหลาย เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก ตามจุดประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
2.3) นำเสนอแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทยต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เป็นผู้ตรวจพิจารณาความถูกต้องเหมาะสมและข้อบกพร่องของแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย
2.๔) ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบพิจารณาความถูกต้อง เหมาะสม และข้อบกพร่องของแบบฝึกเสริมทักษะการ
เขียนคำภาษาไทย แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำอย่างละเอียด
2.๕) ปรับแก้ตามข้อเสนอแนะ นำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง
2.๖) ทดลองใช้ ( Try Out ) โดยนำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา 256๗ จำนวน 3 คน เพื่อทดสอบความเหมาะสมของเวลาความยากง่ายของแบบฝึก พบข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง จากการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย
2.๗) แก้ไขแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ตามข้อบกพร่องที่พบจากการทดลองใช้
2.๘) ทดลองใช้กลุ่มย่อย นำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขจากกลุ่มทดลองใช้แล้ว มาทดลองใช้กลุ่มย่อยกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา 256๗ จำนวน 9 คน พบข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข ปรับปรุง จากการทดลองใช้กลุ่มย่อย
2.๙) แก้ไขแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ตามข้อบกพร่องที่พบ จากการทดลองใช้กลุ่มย่อย
2.10) ทดลองกลุ่มใหญ่ นำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทย ที่ปรับปรุงแก้ไขจากการทดลองใช้กลุ่มย่อยแล้ว ไปทดลองใช้กลุ่มใหญ่ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ข้อมูลการทดลองสมบูรณ์ สามารถนำไปทดลองใช้กับกลุ่มประชากร
2.11) จัดพิมพ์และทำรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มประชากรชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านตะโละดารามัน ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา 256๘ จำนวน 8 คนนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ (E1/E2) ต่อไป