ชื่อเรื่อง รายงานการประเมินโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศ แบบ Coaching
ผู้รายงาน นางสาวชนากานต์ กลองวงษ์
ปีที่ศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศ แบบ Coaching มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาและความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือผู้เรียน ภายใต้โครงการพัฒนางานวิชาการ) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching 2) เพื่อดำเนินการใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching ในการพัฒนาผู้เรียนภายใต้โครงการพัฒนางานวิชาการ 3) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching 4) เพื่อประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching 5) เพื่อประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching 6) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coachingกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาและผู้บริหาร จำนวน 10 คน ตัวแทนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 40 คน ตัวแทนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 40 คน ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 80 คน ปีการศึกษา 2567 รวมจำนวนทั้งสิ้น 170 คน โดยเลือก แบบเจาะจง ( Purposive sampling ) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบทดสอบก่อน-หลังการเข้าร่วมโครงการฯ แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจ และผลการดำเนินงานโครงการพัฒนางานวิชาการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และวิเคราะห์สถิติภาคบรรยาย และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการประเมิน พบว่า
1. ความต้องการในการพัฒนา และความช่วยเหลือนักเรียนในโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านชะอำ (ชะอำวิทยาคาร) โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching พบว่า ครูต้องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเสริมทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์ การแนะแนวอาชีพ และการพัฒนาทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21
2. การใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching ของนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการ พบว่ากระบวนการนิเทศแบบ Coaching มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (Deep Learning) พัฒนาทักษะชีวิตและทักษะทางวิชาการควบคู่กัน และช่วยยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียน
3. ผลการเรียนรู้ของนักเรียนนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนทำโครงการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
4. ผลพฤติกรรมนักเรียนเข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการ พบว่า การประเมินจากแบบสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการประเมินผลการเรียนรู้การประเมินผลจากพฤติกรรมก่อนการเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน ในโครงการพัฒนางานวิชาการ โดยใช้ กระบวนการนิเทศแบบ Coaching พบว่า ส่วนใหญ่ นักเรียนนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้านเท่ากับ 2.78 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้านเท่ากับ 2.89
5. ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนเข้าร่วมโครงการพัฒนางานวิชาการ โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching พบว่า ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การประเมินการเรียนรู้ทางวิชาการเมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนระหว่างปีการศึกษา 2566 และ 2567 พบว่า นักเรียนในปี 2567 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียนสูงกว่าปี 2566 ผลต่างของคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 10.65 คะแนน เป็น 13.35 คะแนนร้อยละของการพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 15.60% เป็น 19.04% แสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching อย่างต่อเนื่องช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้อย่างชัดเจน
6. การประเมินความพึงพอใจต่อโครงการพัฒนางานวิชาการ โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ Coaching ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก อันดับแรก ได้แก่ ด้านการประเมินปัจจัย รองลงมา คือ ด้านการประเมินกระบวนการ และอันดับสุดท้าย คือ ด้านการประเมินผลผลิต ตามลำดับ