ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

การประเมินความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3

ชื่อเรื่อง การประเมินความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3

ผู้วิจัย นางสไบภรณ์ นรินทร์ ครู โรงเรียนบ้านต้องหนองสระปลา

ปีที่ศึกษา พ.ศ. 2568

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จำนวน 313 คน แบ่งเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 86 คน ครูผู้สอนในสถานศึกษา จำนวน 227 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดใหญ่ Stratified Random Sampling แล้วสุ่มผู้บริหารและครูอย่างง่าย Simple Random Sampling เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูล หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความต้องการจำเป็น PNI และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางและสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าความต้องการจำเป็นโดยรวมอยู่ระหว่าง 0.217 – 0.275 เรียงลำดับความต้องการจำเป็น ลำดับ 1 คือ ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ลำดับที่ 2 คือ ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ ลำดับที่ 3 คือ ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ และลำดับที่ 4 คือ ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน

คำสำคัญ : ความปลอดภัยในสถานศึกษา; ความต้องการจำเป็น; โรงเรียน

Abstract

This research aimed to study the current and desirable states, as well as the needs for safety in schools under the Udon Thani Primary Educational Service Area Office 3. The sample group consisted of 313 administrators and teachers from these schools, comprising 86 administrators and 227 teachers. They were selected using stratified random sampling based on school size (small, medium, large), followed by simple random sampling for administrators and teachers. The research tool was a 5-level rating scale questionnaire with a reliability of 0.96. Data analysis involved calculating percentages, means, priority needs index (PNI), and standard deviations.

The research findings revealed that the overall current safety condition was at a moderate level, while the overall desirable safety condition was at a high level. The overall PNI ranged from 0.217 to 0.275. The ranked order of priority needs was as follows: 1) dangers from accidents, 2) dangers from human violence, 3) dangers from rights violations, and 4) dangers from physical and mental health impacts. All aspects of safety were found to be at a high level overall.

Keywords : Safety Administration In Schools; The Needs Assessment; School.

บทนำ

องค์การอนามัยโลกรายงานว่าการบาดเจ็บในเด็ก เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลก โดยจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการบาดเจ็บมากกว่า 630,000 คน เฉลี่ยวันละประมาณ 1,726 คน หรือชั่วโมงละ 72 คน และมีเด็กที่ไม่เสียชีวิตแต่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกือบสิบล้านคน ในจำนวนนี้มีบางรายเกิดความพิการ ทุพพลภาพ และมีผลกระทบในระยะยาว การบาดเจ็บเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในเด็ก (คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของการเสียชีวิตในเด็กทั้งหมด และในหลายประเทศเกือบทั่วโลกที่การบาดเจ็บเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยร้อยละ 95 เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญ เช่น อุบัติเหตุขนส่งทางบก การจมน้ำตายและจมน้ำจากอุบัติเหตุ การพลัดตก หกล้ม การบาดเจ็บจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ได้รับสารพิษ เป็นต้น โดยการบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในบ้านหรือบริเวณรอบ ๆ บ้าน (กรมควบคุมโรค, 2565: ข ) สภาพสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากอุบัติเหตุจากทางถนนแล้ว ซึ่งเป็นความปลอดภัยทางด้านร่างกาย แต่ยังมีความปลอดภัยทางด้านจิตใจที่ส่งผลในทางที่ลบจนเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพจิตใจของเด็กเกิดความรุนแรงได้ เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในสังคมทั้งการล่วงละเมิดด้วยคำพูด การสัมผัส การแอบดูรวมถึงการกระทำรุนแรงทางเพศ เด็กนักเรียนจึงควรรู้วิธีป้องกันและหาทางออกเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ รวมทั้งการขอความช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การล่วงละเมิดทางเพศ หมายถึง การกระทำที่มีผลทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับความเสียหายเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ได้แก่ กระทำชำเรา อนาจาร เป็นต้น ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจะได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2565 : 16)

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็น “การศึกษาขั้นพื้นฐานวิถีใหม่ วิถีคุณภาพ” มุ่งเน้นความปลอดภัยในสถานศึกษา ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและบริหารจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นพัฒนาระบบและกลไกในการดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา จากภัยพิบัติและภัยคุกคามทุกรูปแบบ รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี สามารถปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ส่งเสริมความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้สังคม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การป้องกัน ดูแล ช่วยเหลือหรือเยียวยา และแก้ไขปัญหามีความเป็นเอกภาพ มีข้อมูลสารสนเทศที่เป็นระบบ สามารถแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืนด้วยการบริหารจัดการตามมาตรการ 3 ป ประกอบด้วย ป้องกัน ปลูกฝัง และปราบปราม ให้เกิดความปลอดภัยให้มากที่สุด จึงได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติขอบข่ายความปลอดภัยในสถานศึกษาจำแนกเป็น 4 องค์ประกอบ 1) ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์2) ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ 3) ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ 4) ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาพทางกายและจิต โดยมีการดำเนินงานความปลอดภัยสถานศึกษาตามมาตรการ 3ป ได้แก่ การป้องกันปลูกฝัง และปราบปราม 1) การป้องกัน เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา อุปสรรค หรือความไม่ปลอดภัยกับครู เด็ก โดยการสร้างมาตรการป้องกัน ภายในโรงเรียน เช่น การประเมินปัจจัยเสี่ยงของโรงเรียน การ กำหนดพื้นที่ความปลอดภัย การจัดทำแผนความปลอดภัย การ จัดสภาพแวดล้อม บรรยากาศที่ปลอดภัย จัดโครงสร้างข้อมูล สารสนเทศ การมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในภาคีเครือข่าย การประเมินนักเรียนรายบุคคล ด้านร่างกาย จิตใจ สังคม สติปัญญา และความช่วยเหลือต่าง ๆ 2) การปลูกฝัง การสร้างความรู้ ความเข้าใจ จิตสำนึก และเจตคติการสร้างเสริมประสบการณ์เพื่อให้เกิดทักษะในการ ป้องกันภัยกับเด็กนักเรียน ครู บุคลากรในโรงเรียน และการจัด กิจกรรมเสริมทักษะ ประสบการณ์ ในการป้องกันความปลอดภัย การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมการปฏิบัติต่อครู และเพื่อนใน โรงเรียน 3) การปราบปราม การดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหา การช่วยเหลือความไม่ปลอดภัยในโรงเรียน การช่วยเหลือเยียวยา พื้นฟูจิตใจบุคคลที่ได้ประสบเกต การดำเนินตามกฎหมายสำหรับ บุคคลที่ทำผิดที่ทำลายความสงบสุขของสังคม (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2564: 4 )

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ตระหนักในการสร้างความปลอดภัยของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มีความสุขและมีชีวิตที่ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการให้การดูแลช่วยเหลือและความปลอดภัยให้แก่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาจากภัยคุกคามทุกรูปแบบเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย การป้องกัน ดูแล ช่วยเหลือหรือเยียวยา และแก้ไขปัญหา แก่นักเรียนครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืน

จากสภาพปัญหาที่กล่าวมา ความปลอดภัยในสถานศึกษาจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความปลอดภัยในสถานศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและด้านทางจิตใจของนักเรียน ทำให้ผู้วิจัยตระหนักและสนใจที่จะศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 เพื่อเป็นแนวทางและเป็นการจัดลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ต่อไป

วัตถุประสงค์การวิจัย

เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3

วิธีการดำเนินการวิจัย

การศึกษาความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ได้ดำเนินการวิจัย ดังนี้

1.ขอบเขตประชากร

1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นประชากรที่มีจำนวนสมาชิกจำกัดที่มีจำนวนนับได้แน่นอน (Finite Population) ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จำนวน 109 คน ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จำนวน 1,680 คน รวมทั้งสิ้น 1,789 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จำนวน 313 คน แบ่งเป็น ผู้บริหาสถานศึกษา จำนวน 86 คน ครูผู้สอนในสถานศึกษา จำนวน 227 คน การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางของ เครจซี่ และ มอร์แกน (Krejcie & Morgan) จากตารางระบุจำนวนของกลุ่มตัวอย่างที่จะสุ่มเมื่อจำนวนประชากร ตั้งแต่ประชากร 10 คนขึ้นไปจนถึง 1 แสนคน (บุญชม ศรีสะอาด, 2560: 43) และได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ได้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดใหญ่ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 313 คน

2.ขอบเขตด้านเนื้อหา

การศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มุ่งศึกษาความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จากการทบทวนวรรณกรรม ผู้วิจัยได้พิจารณาตัวแปรความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยได้มาจากการสังเคราะห์งานวิจัย ความปลอดภัยในสถานศึกษา ของนักวิชาการดังต่อไปนี้ Deroche; & Kaiser (1980: 160-166), Kitamura Yuto (2014: 40-41),สฤษดิ์ พานคำ (2551: บทคัทย่อ), เวโรจน์ ทองเถาว์ (2558),กฤษฎา ศรีสุชาติ (2559: 96-98),อดิศร ดีปานธรรม (2561: 35),บุญเลี้ยง จอดนอก และคณะ (2561: 10) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2564: 25), ดังต่อไปนี้ 1) ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ 2) ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ 3) ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ 4) ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์

3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 1 ฉบับ เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้

5 หมายถึง. มีสภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ควรจะเป็นมากที่สุด

4. หมายถึง สภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ควรจะเป็นมาก

3 หมายถึง สภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ควรจะเป็นปานกลาง

2 หมายถึง สภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ควรจะเป็นน้อย

1 หมายถึง สภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ควรจะเป็นน้อยที่สุด

จำนวน 1 ฉบับ มีรายละเอียดดังนี้

แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความปลอดภัยในสถานศึกษา 4 องค์ประกอบดังนี้ 1) ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ 2) ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ 3) ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ 4) ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์

4.การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ

4.1 ผู้วิจัยศึกษาทฤษฎี แนวคิด หลักการ และงานวิจัยเอกสารเกี่ยวข้องกับประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้วิจัยศึกษาวิเคราะห์เอกสาร (Documentary analysis) และสรุปประเด็นในการศึกษาความปลอดภัยในสถานศึกษา

4.2 ผู้วิจัยสร้างตารางสังเคราะห์กระบวนความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยแบ่งออกเป็นด้านดังนักวิชาการได้นำเสนอมาและสังเคราะห์องค์ประกอบตามคำนิยามความหมาย โดยนำมากำหนดเป็นกรอบแนวความคิด และสร้างนิยามศัพท์เฉพาะขึ้นมา เพื่อใช้ในการสร้างเครื่องมือ โดยศึกษาแนวคิดความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยได้องค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ

4.3 ผู้วิจัยศึกษารูปแบบของแบบสอบถาม และข้อคำถาม ทำการศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามจากตำราต่างๆ ศึกษาแบบสอบถามของนักวิชาการและนักวิจัยในเรื่องที่คล้ายกันศึกษาขั้นตอนในการสร้างแบบสอบถาม โดยอาศัยแนวคิดของ (บุญชม ศรีสะอาด,2560) ในการสร้างแบบสอบถาม และการประเมินความต้องการจำเป็น (สุวิมล ว่องวาณิช, 2550: 15-17)

4.4 ผู้วิจัยดำเนินการสร้างข้อคำถามแบบสอบถามฉบับร่าง ตามโครงสร้างของเนื้อหาและกรอบแนวความคิด ตามการแบ่งเนื้อหาของแบบสอบถามออกเป็นตอน จำนวน 3 ตอน โดยครอบคลุมกับวัตถุประสงค์การวัด และจัดพิมพ์เพื่อนำเสนอต่อผู้ทรงคุณว

4.5 ผู้วิจัยนำแบบสอบถามฉบับร่าง ที่สร้างขึ้นไปนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำและข้อเสนอแนะ และปรับปรุงแก้ไขเพื่อนำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ

4.6 การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) ผู้วิจัยนำแบบสอบถามฉบับร่าง ที่ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษามานำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน เพื่อประเมินตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และตรวจสอบให้แบบสอบถามมีความครอบคลุมถูกต้องตามนิยามของความปลอดภัยในสถานศึกษา ตลอดจนให้มีข้อเสนอแนะปรับปรุงแก้ไข ด้วยการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด (Index of Item Objective Congruence : IOC) (สมบัติ ท้ายเรือคำ,2555 : 100) ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกผู้ทรงคุณวุฒิแบบเจาะจง (Purposive Selection) ตามคุณสมบัติ จำนวน 5 ท่าน

ทั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดเกณฑ์คะแนนในการตรวจสอบความตรง ดังนี้

ให้คะแนน +1 เมื่อเห็นว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวัดตามนิยามศัพท์เฉพาะ

ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวัดตามนิยามศัพท์เฉพาะ

ให้คะแนน -1 เมื่อเห็นว่าข้อคำถามนั้นไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวัดตามนิยามศัพท์เฉพาะ

4.7 ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้จากการตรวจสอบของผู้ทรงคุณวุฒิมาปรับปรุงแก้ไข โดยคัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.90 นำมาใช้มาเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแบบสอบถาม แล้วจึงนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของแบบสอบถาม

4.8 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ผู้วิจัยนำแบบสอบถาม ไปทดลองใช้ (Try Out) เพื่อพิจารณาความแจ่มชัดของข้อคำถามต่างๆ กับครู ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ซึ่งเป็นครู จำนวน 30 คน ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 แล้วนำผลมาทดสอบหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ตามวิธีของ ครอนบาด (Cronbach) ซึ่งเสนอวิธีหาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (α= Coefficient) (บุญชม ศรีสะอาด,2560 : 117) โดยแบบสอบถามทั้งฉบับได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.96

4.9 ผู้วิจัยดำเนินการปรับปรุง แก้ไข แล้วดำเนินการสร้างแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์เพื่อดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล

4.10 ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ทั้งหมดที่ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้น นำมาตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้อง และเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

5. การเก็บรวบรวมข้อมูล

การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

5.1 ผู้วิจัยทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 เพื่อขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษาในสังกัด

5.2 ผู้วิจัยทำหนังสือถึงผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์

5.3 ในกรณีที่ได้รับแบบสอบถามไม่ครบตามจำนวนที่จัดส่งไป ผู้วิจัยจะโทรศัพท์ติดต่อ ประสานงานกับผู้บริหารสถานศึกษานั้นโดยตรง

6. การวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสถิติสําเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ (Statistical Package for the Social Sciences: SPSS) ตามรายละเอียด ดังนี้

6.1 ข้อมูลจากแบบสอบถาม ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การแปลผล (บุญชม ศรีสะอาด, 2560: 103)

6.2 นำข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถาม เกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 มาวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (Needs Analysis) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่นำไปสู่การเกิดความต้องการจำเป็นนั้น ๆ เทคนิคการวิเคราะห์การประเมินความต้องการจำเป็นที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ PNIModified คือ เป็นสูตรที่ปรับปรุง โดย นงลักษณ์ วิรัชชัย และ สุวิมล ว่องวาณิช เป็นวิธีการหาผลต่างของ (I - D) แล้วหารด้วยค่า D เพื่อควบคุมขนาดของความต้องการ จำเป็นให้อยู่ในพิสัยช่วงที่ไม่กว้างมากเกินไปและให้ความหมายเชิงเปรียบเทียบเมื่อใช้ระดับของสภาพที่เป็นอยู่เป็นฐานในการคำนวณค่าอัตราการพัฒนาเข้าสู่สภาพที่คาดหวังของกลุ่ม (สุวิมล ว่องวาณิช, 2550: 15-17) สูตร PNIModified = (I-D)/D

สรุปผลการวิจัย

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 สรุปผลตามวัตถุประสงค์ดังนี้

1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3

ผลการวิจัยพบว่าสภาพปัจจุบันขององค์ประกอบความปลอดภัยในสถานศึกษา องค์ประกอบที่ 4 ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุข ภาวะทางกายและจิตใจอยู่ในระดับปานกลาง ( x ̅ = 3.49 ) รองลงมาองค์ประกอบที่ 2 ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ อยู่ในระดับปานกลาง ( x ̅ = 3.37 ) องค์ประกอบที่ 3 ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ อยู่ในระดับปานกลาง ( x ̅ = 3.27 ) ต่ำสุดคือ องค์ประกอบที่ 1 ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ อยู่ในระดับปานกลาง ( x ̅ = 3.24 ) และสภาพที่พึงประสงค์ขององค์ประกอบความปลอดภัยในสถานศึกษา องค์ประกอบที่ 2 ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x ̅ = 4.65 ) รองลงมาองค์ประกอบที่ 4 ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ อยู่ในระดับมาก ( x ̅ = 4.46 ) องค์ประกอบที่ 1 ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ อยู่ในระดับมาก ( x ̅ = 4.38 ) ต่ำสุดคือ องค์ประกอบที่ 3 ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ อยู่ในระดับมาก ( x ̅ = 4.18 ) ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์

โดยรวมและรายด้านองค์ประกอบ

ความปลอดภัยในสถานศึกษา สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์

x ̅ S.D. ระดับ x ̅ S.D. ระดับ

1. ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรง

ของมนุษย์ 3.24 0.67 ปานกลาง 4.38 0.84 มาก

2. ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ 3.37 0.58 ปานกลาง 4.65 0.48 มากที่สุด

3. ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ 3.27 0.77 ปานกลาง 4.18 0.65 มาก

4. ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุข

ภาวะทางกายและจิตใจ 3.49 0.87 ปานกลาง 4.46 0.64 มาก

โดยรวม 3.34 0.68 ปานกลาง 4.41 0.54 มาก

จากตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมและรายด้าน พบว่าภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากและมากที่สุด พิจารณาเป็นรายด้านพบว่าส่วนใหญ่สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลางและสถาพที่พึงประสงค์ในรายด้านส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก

ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ยสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) และลำดับความต้องการจำเป็น

D I PNI

องค์ประกอบความปลอดภัย ค่าเฉลี่ยสภาพปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยสภาพพึงประสงค์ Modified ลำดับความต้องการจำเป็น

ในสถานศึกษา

1. ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรง

ของมนุษย์ 3.24 4.38 0.260 2

2. ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ 3.37 4.65 0.275 1

3. ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ 3.27 4.19 0.219 3

4. ภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ 3.49 4.46 0.217 4

จากตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ยสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น(PNI Modified) และลำดับความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า ลำดับความต้องการจำเป็นองค์ประกอบความปลอดภัยในสถานศึกษารายด้านโดยมีค่า PNI อยู่ในระดับตั้งแต่ 0.217 - 0.275 พิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ มีค่า (PNImodified = 0.275) อยู่ในลำดับที่ 1 ด้านภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ มีค่า (PNImodified = 0.260) อยู่ในลำดับที่ 2 ด้านภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ มีค่า (PNImodified = 0.219) อยู่ในลำดับที่ 3 และด้านภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ มีค่า (PNImodified = 0.217) อยู่ในลำดับสุดท้าย

อภิปรายผลการวิจัย

จากผลการศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ผู้วิจัยได้นำมาอภิปรายผลตามกรอบแนวคิดในการวิจัยดังนี้

1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3

ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 สภาพปัจจุบัน องค์ประกอบความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการบริหารงานสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 มีแนวทางในการป้องกันความปลอดภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ ความปลอดภัยที่เกิดจากการอุบัติเหตุ ความปลอดภัยที่เกิดจากการถูกละเมินสิทธิ์ ความปลอดภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ให้ความสำคัญและมีมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างไม่เป็นระบบ หน่วยงานขาดการติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นระบบ สถานศึกษามีองค์ความรู้และการดำเนินการอย่างไม่เป็นระบบเท่าที่ควร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังขาดองค์ความรู้ในการปลูกฝังด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา ผู้บริหารยังไม่กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา และไม่มีคณะกรรมการรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย สถานศึกษาขาดทรัพยากรในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับ ธีรยุทธ เมืองแมน (2566) ที่ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 พบว่าโดยรวมสภาพการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า มีองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อยู่ลำดับมากที่สุด ลองลงมาคือ ตระหนักและเข้าใจถึงความปลอดภัยตามบริบทของสถานศึกษา และน้อยที่สุดคือ การกำหนดนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษาให้เห็นชัดเจน สอดคล้องกับ สุชีรา ใจหวัง (2561) ได้ทำวิจัยเรื่อง การจัดบริหารการความปลอดภัยในโรงเรียน พบว่า สภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่ขณะทำการตอบแบบสอบถามโดยรวมอยู่ในระดับน้อย ส่วนสภาพที่ต้องการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับมาก ความปลอดภัยในสถานศึกษาว่า เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีความสุขและการได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย เพราะขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการสามารถปฏิบัติได้จริงและมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในด้านความปลอดภัยในโรงเรียนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินและมีความรู้แนวทางป้องกันได้ทันท่วงที สอดคล้องกับ ประเสริฐศักดิ์ เหินไธสง (2560) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมสำหรับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาขนาดเล็ก พบว่า สภาพปัจจุบันอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้โดยรวมอยู่ในระดับน้อยส่วนสภาพที่ต้องการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับมาก

ข้อเสนอแนะ

1.ข้อเสนอแนะทั่วไป

1.1 ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้พบว่า การประเมินความต้องการจำเป็นความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ในองค์ประกอบความปลอดภัยในสถานศึกษา ด้านภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ มีค่าความต้องการจำเป็นที่ต้องได้รับการพัฒนามากที่สุดและเมื่อพิจารณารายข้อย่าย พบว่า มีการเกิดภัยจากพาหนะที่ประทบต่อโรงเรียน มีสภาพที่พึงประสงค์มากที่สุด ดังนั้น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 จึงควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆในการพัฒนา

1.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ควรขยายนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษา และจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยในสถานศึกษาขึ้นทุกกลุ่มโรงเรียนเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัด และควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และทางราชการเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความสำคัญกับโครงการสถานศึกษาปลอดภัย

2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป

2.1 จากการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ผู้ที่จะศึกษาในเนื้อหาความปลอดภัยในสถานศึกษา ควรศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและแนวทางในการเสริมสร้างความปลอดภัยในสถานศึกษา ภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์เพราะมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดและเมื่อพิจารณารายข้อย่อยพบว่า มีการก่อวินาศกรรมที่กระทบต่อโรงเรียน มีสถาพปัจจุบันอยู๋ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับรายข้อย่อยอื่นๆ จึงเป็นด้านที่น่าสนใจเพื่อนำพัฒนาและทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ

เอกสารอ้างอิง

กรมควบคุมโรค. (2565) แนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพความปลอดภัย.

กรุงเทพฯ : กระทรวงสาธารณสุข

กฤษฎา ศรีสุชาติ. (2559). การพัฒนาตัวบ่งชี้และคู่มือโรงเรียนปลอดภัยของสถานศึกษา

สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต

มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.

บุญชม ศรีสะอาด (2560) การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

บุญเลี้ยง จอดนอก และคณะ. (2561). การศึกษาและพัฒนารูปแบบความร่วมมือของบุคลากรในสถานศึกษา

และผู้ปกครองนักเรียน ที่ส่งผลต่อความปลอดภัย การล่วงละเมิดทางเพศ การใช้ความรุนแรง

และการใช้สารเสพติด ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. ในราย

งานวิจัย, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.

ประเสริฐศักดิ์ เหินไธสง. (2560). การพัฒนาระบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการจัดสภาพแวดล้อมการ

เรียนรู้สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต

สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

เวโรจน์ ทองเถาว์. (2558). การพัฒนารายการตรวจสอบสำหรับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยใน

โรงเรียน. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา, 10(1), 227–239.

สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2555). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5 มหาสารคาม

: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

สฤษดิ์ พานคำ. (2551). การจัดการความปลอดภัยในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตบางเขน.

(รายงานการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา.

บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2564). คู่มือการดำเนินงานความปลอดภัยสถานศึกษา.

กรุงเทพฯ: สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2565). แผนการดำเนินงานความปลอดภัยสถานศึกษา.

กรุงเทพฯ:

สุชีรา ใจหวัง (2561). การศึกษาการจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

มัธยมศึกษา เขต1. วารสารบริหารการศึกษา มศว ปีที่ 15 ฉบับที่ 28 - มกราคม - มิถุนายน

2561

สุวิมล ว่องวาณิช. (2550). การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย

อดิศร ดีปานธรรม. (2561). การพัฒนารูปแบบการจัดการด้านความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา

สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต.

มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์.

Deroche, E. F., & Kaiser, J. S. (1980). Complete guide to administering school services. Parker.

Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate data

analysis: A global perspective (7th ed.). Pearson Education

Kitamura Yuto. (2014). The possibility of holistic safety education in Japan: From the

perspective of Education for Sustainable Development (ESD). International

Association of Traffic and Safety Science.

โพสต์โดย สไบภรณ์ นรินทร์ : [17 พ.ย. 2568 (13:19 น.)]
อ่าน [57633] ไอพี : 125.27.218.110
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 87,722 ครั้ง
หน้ามน-หน้ามล
หน้ามน-หน้ามล

เปิดอ่าน 9,787 ครั้ง
How To ทำวิทยฐานะแบบใหม่
How To ทำวิทยฐานะแบบใหม่

เปิดอ่าน 18,804 ครั้ง
ความมืดมีประโยชน์ ช่วยต้านมะเร็ง แถมลดน้ำหนัก
ความมืดมีประโยชน์ ช่วยต้านมะเร็ง แถมลดน้ำหนัก

เปิดอ่าน 22,805 ครั้ง
โรคเหน็บชา สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 9
โรคเหน็บชา สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 9

เปิดอ่าน 43,772 ครั้ง
วิธีปลูกหอมญี่ปุ่น
วิธีปลูกหอมญี่ปุ่น

เปิดอ่าน 17,843 ครั้ง
วิธีขจัด "สิวผด" ให้หายเกลี้ยง
วิธีขจัด "สิวผด" ให้หายเกลี้ยง

เปิดอ่าน 13,694 ครั้ง
พ่อแม่ควรแอด เฟซบุ๊ก Facebook ลูกไหม
พ่อแม่ควรแอด เฟซบุ๊ก Facebook ลูกไหม

เปิดอ่าน 1,095 ครั้ง
5 เหตุผลที่ธุรกิจควรเลือกใช้แผ่น PVC sheets แทนวัสดุแบบเดิม
5 เหตุผลที่ธุรกิจควรเลือกใช้แผ่น PVC sheets แทนวัสดุแบบเดิม

เปิดอ่าน 59,219 ครั้ง
ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย
ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย

เปิดอ่าน 4,402 ครั้ง
ประโยชน์ของขมิ้นชัน
ประโยชน์ของขมิ้นชัน

เปิดอ่าน 19,227 ครั้ง
ฮือฮา เปิดภาพลับ"สตีฟ จ็อบส์"คิดค้น"ไอแพด"ได้ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน
ฮือฮา เปิดภาพลับ"สตีฟ จ็อบส์"คิดค้น"ไอแพด"ได้ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน

เปิดอ่าน 14,890 ครั้ง
8 วิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ
8 วิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ

เปิดอ่าน 11,440 ครั้ง
"งานขาย-บริการ-อาหาร" อาชีพที่นายจ้างต้องการคนร่วมงาน
"งานขาย-บริการ-อาหาร" อาชีพที่นายจ้างต้องการคนร่วมงาน

เปิดอ่าน 30,942 ครั้ง
"หอยนางรม" บำรุง "ตับ-ไต-สุขภาพ-เพศ"
"หอยนางรม" บำรุง "ตับ-ไต-สุขภาพ-เพศ"

เปิดอ่าน 11,107 ครั้ง
ขนาดเด็กน้อยยังต้องฟัง กังนัม สไตล์ กินข้าว
ขนาดเด็กน้อยยังต้องฟัง กังนัม สไตล์ กินข้าว

เปิดอ่าน 16,114 ครั้ง
วัดป่าที่แม่ฮ่องสอนดังทั่วโลก ต่างชาติแห่เรียนสมาธิปีละกว่า 2 พันคน
วัดป่าที่แม่ฮ่องสอนดังทั่วโลก ต่างชาติแห่เรียนสมาธิปีละกว่า 2 พันคน
เปิดอ่าน 118,577 ครั้ง
วิธีการปลูกพืชผัก
วิธีการปลูกพืชผัก
เปิดอ่าน 16,348 ครั้ง
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 มีนาคม 2552
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 มีนาคม 2552
เปิดอ่าน 18,136 ครั้ง
11 เว็บไซต์เรียนภาษาสุดเจ๋ง ที่คนอยากเก่งอังกฤษไม่ควรพลาด!
11 เว็บไซต์เรียนภาษาสุดเจ๋ง ที่คนอยากเก่งอังกฤษไม่ควรพลาด!
เปิดอ่าน 7,669 ครั้ง
พระเจ้าแผ่นดิน
พระเจ้าแผ่นดิน

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
ติวสอบ GED
ติวสอบ SAT
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ