ศิริวรรณ ทิพย์มณี
ครูชำนาญการ ‎
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2‎
Siriwan Thipmanee
Professional Teacher
Affiliated with the Phatthalung Primary Educational Service Area Office 2‎
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดกิจกรรม STEM โดยใช้วัสดุใกล้ตัวสำหรับเด็กปฐมวัย และ ‎‎(2) ศึกษาผลของการใช้กิจกรรม STEM ต่อความคิดสร้างสรรค์ของเด็กอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร กลุ่มตัวอย่างคือเด็กอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 40 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โดยเลือกแบบกลุ่ม (Cluster ‎Sampling) รูปแบบการวิจัยเป็นกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลัง (One ‎Group PretestPosttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) ชุดกิจกรรม STEM ที่ใช้วัสดุรอบตัว ‎เช่น กระดาษ หลอดดูด แกนทิชชู่ เชือก และดินน้ำมัน และ (2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ‎ดำเนินการเก็บข้อมูลก่อนและหลังการจัดกิจกรรม จำนวน 6 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าทีแบบพึ่งพากัน (t-test Dependent Sample) ผลการวิจัยพบว่า เด็กหลังได้รับกิจกรรม ‎STEM มีคะแนนความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่ากิจกรรม ‎STEM ที่ใช้ของใกล้ตัวมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย
คำสำคัญ: STEM, เด็กปฐมวัย, ความคิดสร้างสรรค์, การเรียนรู้เชิงลงมือทำ
ABSTRACT
This research aimed to (1) develop STEM-based learning activities using everyday ‎materials and (2) examine the effectiveness of the activities on the creativity of kindergarten ‎children. The target group consisted of 40 kindergarten level 3 students from Ban Holaha School ‎in the second semester of the academic year 2024 The research design employed a one-group ‎pretestposttest quasi-experimental approach. The research instruments included six STEM ‎activity plans utilizing accessible materials such as paper rolls, plastic straws, bottle caps, string, ‎and modeling clay, as well as a creativity assessment form validated by experts with an IOC ‎value of 0.80 or higher. The activities were implemented over a period of six weeks. Data were ‎analyzed using mean, standard deviation, and dependent sample t-test. ‎ The findings revealed ‎that the posttest creativity scores of the children were significantly higher than their pretest ‎scores at the .05 level. This indicates that STEM activities using familiar materials effectively ‎enhanced childrens creativity by encouraging exploration, problem-solving, imagination, and self-‎expression. The results suggest that STEM learning can be integrated into early childhood ‎classrooms without requiring expensive materials and can be adapted to various learning ‎contexts.‎
Keywords: STEM, Early Childhood Education, Creativity, Hands-on Learning
บทนำ
การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นกระบวนการพื้นฐานของการสร้างคุณภาพมนุษย์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อการเติบโตของประเทศในระยะยาว เพราะช่วงวัยปฐมวัยถือเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อสมองมีการเจริญเติบโตสูงสุดถึงร้อยละ 80 ‎ของขนาดสมองผู้ใหญ่ การเรียนรู้ในช่วงนี้จึงมีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา อารมณ์ สังคม และร่างกายอย่างลึกซึ้ง ‎‎(กระทรวงศึกษาธิการ, 2562) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมในวัยดังกล่าวจึงควรเน้นการพัฒนาเด็กแบบองค์รวม โดยเฉพาะทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการปรับตัวในสังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
แนวทางการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับการบูรณาการศาสตร์หลายสาขาเข้าด้วยกัน ‎โดยเฉพาะแนวคิด STEM Education ซึ่งหมายถึงการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี ‎‎(Technology) วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ผ่านกิจกรรมที่เน้นกระบวนการคิดเชิงออกแบบ การทดลอง การแก้ปัญหา และการประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริง (Bybee, 2013) สำหรับเด็กปฐมวัย การจัดกิจกรรม STEM ไม่ได้มุ่งหวังให้เด็กเข้าใจทฤษฎีเชิงลึกของแต่ละสาขา แต่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง ได้สำรวจ ทดลอง และลงมือทำจริงในสถานการณ์ที่มีความหมายต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยส่งเสริมทั้งพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อมกัน แนวคิดของ Piaget (1970) ได้อธิบายว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการลงมือปฏิบัติจริงและการสร้างความเข้าใจผ่านการกระทำ (Learning by Doing) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ‎Vygotsky (1978) ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อม โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและสร้าง เขตพัฒนาการใกล้เคียง (Zone of Proximal Development) เพื่อให้เด็กก้าวข้ามขีดความสามารถเดิมอย่างมีความหมาย ในบริบทของการจัดการเรียนรู้แบบ STEM เด็กจึงไม่เพียงเป็นผู้รับสาร แต่เป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านการคิดและการลงมือทดลอง ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม ในบริบทของโรงเรียนปฐมวัยในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย รวมถึง โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร ‎จังหวัดพัทลุง พบว่าครูส่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจและแนวทางที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรม STEM ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ เนื่องจากการดำเนินงานมักเผชิญกับข้อจำกัดด้านวัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ และความเข้าใจในกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ส่งผลให้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ยังคงอยู่ในรูปแบบการสอนตามแบบแผนเดิม เด็กทำกิจกรรมตามคำสั่งมากกว่าการคิดและลงมือทำด้วยตนเอง จึงขาดโอกาสในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะเดียวกัน งานวิจัยในต่างประเทศและในประเทศไทยหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า การใช้ ของใกล้ตัว หรือวัสดุเหลือใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระดาษ หลอดดูด กล่องนม ขวดน้ำ หรือดินน้ำมัน มาประยุกต์เป็นสื่อในการเรียนรู้แบบ STEM สามารถสร้างความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้กับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Siraj-Blatchford & MacLeod-Brudenell, 2016) เด็กจะได้ฝึกการสังเกต ทดลอง คาดคะเน และออกแบบสิ่งประดิษฐ์ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ‎นอกจากนี้ การใช้วัสดุรอบตัวยังช่วยลดข้อจำกัดด้านงบประมาณและทำให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้ต่อเนื่องในทุกสภาพโรงเรียน
ดังนั้น การวิจัยเรื่องการใช้กิจกรรม STEM แบบใช้ของใกล้ตัวเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย: ‎กรณีศึกษา เด็กอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร จังหวัดพัทลุง นี้ จึงมีความสำคัญทั้งในเชิงวิชาการและเชิงปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม STEM ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทโรงเรียนชนบท พร้อมทั้งศึกษาผลของการจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อระดับความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสำหรับเด็กปฐมวัยที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า ทั้งนี้ ‎ผลการวิจัยคาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้ครูปฐมวัยมีแนวทางใหม่ในการจัดการเรียนรู้ที่สร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาเด็กอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายของการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งให้เด็กเป็นผู้เรียนรู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ‎ใฝ่รู้ และสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
‎1.‎ เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม STEM โดยใช้ของใกล้ตัวสำหรับเด็กอนุบาลปีที่ 3‎
‎2.‎ เพื่อศึกษาผลของกิจกรรม STEM ที่ใช้ของใกล้ตัวต่อความคิดสร้างสรรค์ของเด็กอนุบาลปีที่ 3‎