ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นมรดกของชาติที่มีความจำเป็นในการสื่อสาร ทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ เสริมสร้างคุณภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย ปัจจุบันคนไทยใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์ ส่งเสริมภูมิปัญญา บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ ดังที่พระบาทสมเด็จดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสในที่ประชุมของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความสำคัญของภาษาไทยไว้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2539 : 8)
ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเอง ซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศมีภาษาของตนเองแต่ว่าเขาไม่แข็งแรง เขาต้องพยายามหาหนทางที่จะสร้างภาษาของตนเองไว้มั่นคง เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองมาแต่โบราณกาล ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่ต้องรักษาไว้ปัญหาเฉพาะด้านในการรักษาภาษานี้มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางการเขียน คือเขียนให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธี หมายความว่าใช้คำมาเขียนให้ถูกต้องชัดเจน ซึ่งนับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทยที่พวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้
ภาษาไทยนอกจากจะเป็นภาษาประจำชาติ ยังแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ภาษาไทยยังมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตประจำวัน ช่วยถ่ายทอดความรู้ความคิดเสริมสร้างความเข้าใจอันดีของคนในสังคม ภาษาไทยจึงเป็นวิชาที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคนในชาติ การเรียนภาษาไทยนั้นเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ ผู้ที่ใช้ภาษาไทยได้ดีย่อมส่งผลในการเรียนรู้วิชาอื่นดีไปด้วยเพราะภาษาไทย คือ หัวใจของทุกวิชาดังนั้นความสามารถของการใช้ภาษาในการสื่อสาร จึงนับว่าสำคัญมากในยุคปัจจุบัน ดังที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2545 : 3) กล่าวถึงความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อเกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข
ฉะนั้นบุคคลใดที่สามารถใช้ภาษาไทยได้ดีก็ย่อมดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขและสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่จะใช้ภาษาไทยได้ดีต้องทำความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ทางภาษา และฝึกฝนให้มีทักษะพื้นฐานทางภาษา คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ในการติดต่อสื่อสาร พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้มุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุล โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้กระทรวงศึกษาธิการ จึงให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็นหลักสูตรมาตรฐานของประเทศ มีจุดประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดสาระการเรียนรู้ซึ่งประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้เป็น 8 กลุ่มสาระ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นสาระหลักในกลุ่มแรกที่ใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนเพี่อสร้างพื้นฐานการคิดและเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาและวิกฤตของชาติ
ทักษะภาษาไทยยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาวิชาอื่น ๆ จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ มนุษย์จำเป็นต้องใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนเพื่อติดต่อสื่อสาร การสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรนั้น จำเป็นต้องมีการฝึกฝนทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื่อให้นักเรียนมีทักษะสามารถติดต่อสื่อความหมายได้ เพราะถ้าผู้เรียนใช้ภาษาไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะพูดไม่ชัด หรือเขียนไม่ถูกต้องนอกจากจะทำให้การสื่อความหมายไม่ตรงตามความต้องการแล้วยังทำให้เสียบุคลิกภาพอีกด้วย (วัลภา ศศิวิมล, 2531 : 24)
ทักษะที่นับว่ามีความสำคัญต่อการเรียนการสอนภาษาไทย ได้แก่ ทักษะการอ่านเพราะการอ่านเป็นการรับรู้ความคิด เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการคิด สติปัญญา และทัศนคติสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท่ามกลางสังคมยุคแห่งข้อมูลข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ บุคคลจำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น ทักษะการอ่านจึงจำเป็นและทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะการอ่านเป็นการรับรู้ความคิด ความรู้สึกและความเข้าใจของผู้อื่นทางลายลักษณ์อักษร และสามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ การอ่านที่ไม่สมบูรณ์เพราะอ่านสะกดคำผิดหรือข้อความผิด ย่อมทำให้การสื่อสารขาดประสิทธิภาพ ทั้งยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้
พวงเล็ก อุตระ (2533 : 174) กล่าวว่า การอ่านใช้ติดต่อกันได้ระหว่างผู้อยู่ห่างไกล สามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือวิชาความรู้ได้กว้างขวางกว่าภาษาพูด ช่วยรักษาและสืบทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ ไว้ยืนนานถึงแม้คำบางคำจะไม่ใช้พูดกันแล้ว แต่ก็ยังปรากฏหลักฐานเหลืออยู่ โดยภาษาเขียนสามารถปรับปรุงให้ได้ความกระชับไพเราะสละสลวยได้มากกว่าภาษาพูด ภาษาเขียนที่ดีควรเริ่มจากเขียนสะกดคำที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้องจะทำให้ใช้ภาษาได้อย่างสมบูรณ์ คำที่เขียนสะกดอาจจะทำให้การอ่านออกเสียงคำนั้นไม่ถูกต้อง และยังอาจทำให้ความหมายในการสื่อสารผิดไป เสียความไปหรืออย่างน้อยก็แสดงถึงความด้อยค่าทางสติปัญญาของผู้ใช้ภาษาการเขียนจะเขียนได้ดีก็ต่อเมื่อได้ฟังมากอ่านมาก มีประสบการณ์กว้างขวาง นอกจากนั้นยังปรากฏว่านักเรียนที่อ่านได้ดีมักจะเป็นผู้ที่มีทักษะการพูดดี (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ , 2536 : 163)
ทักษะการอ่านจึงเป็นทักษะที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาการอ่านสะกดคำให้ถูกต้องเพราะเป็นปัญหาที่พบมากในการเรียนการสอน ได้แก่ การอ่านพยัญชนะผิด อ่านสระผิด ใช้วรรณยุกต์ผิด (เข็มทอง จิตจักร , 2544 : 12) ทักษะการอ่านสะกดคำนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญของนักเรียน ในการเริ่มต้นเรียน ถ้าละเลยข้อบกพร่องนั้นไป อาจทำให้นักเรียนอ่านและเขียนผิดได้ตลอดไป การฝึกทักษะการอ่านสะกดคำให้ถูกต้องและคล่องแคล่วแก่ผู้เรียน เป็นการปูพื้นฐานการเขียนที่ดี เพราะสามารถนำไปใช้ในการเขียนรูปแบบอื่นๆ ได้อีก เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนแสดงความคิดเห็นการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เป็นต้น (ปัทมา ไตรคุป 2547 : 8)
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น การสอนทักษะการอ่านภาษาไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษา ถึงแม้ครูผู้สอนจะได้พยายามฝึกทักษะการอ่านให้นักเรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน แต่นักเรียนก็ยังมีข้อบกพร่องในการอ่าน ข้อบกพร่องในการอ่านนับเป็นปัญหาที่ครูผู้สอนจะต้องรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญของนักเรียน ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องแก้ไขข้อบกพร่องในการอ่านของนักเรียน หากครูผู้สอนละเลยข้อบกพร่องนั้นไป จะเป็นสาเหตุให้นักเรียนไม่ประสบความสำเร็จทางการเรียนในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นไปเท่าที่ควร เพราะไม่สามารถใช้ทักษะการอ่านแสวงหาความรู้ ความสามารถและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การอ่านคำไม่ถูกต้องแม้จะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม เมื่อรู้ว่าอ่านผิดไปแล้วก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่มีแบบแผน ควรยึดหลักเกณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การอ่านคำให้ถูกต้องนั้นไม่ยาก เพียงแต่ผู้เขียนต้องใช้ความสังเกต จดจำและฝึกฝนก็จะทำให้สามารถอ่านได้ถูกต้องและชัดเจน โดยใช้หลักฐานที่เชื่อถือและตรวจสอบได้ คือ พจนานุกรม
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะใช้วิธีเรียนแบบกระบวนการสร้างระบบพี้เลี้ยง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถอ่านจับใจความสำคัญได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ประสบอยู่และสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของครูให้มีเกิดประสิทธิผลมากขึ้น และส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนดีขึ้นด้วย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาที่ 5 โดยกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring)
วิธีดำเนินการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนสังคมวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียน 19 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย/นวัตกรรม
1. แผนการสอนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โดยกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring)
2. กิจกรรม Problem based Learning สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 กิจกรรม ใช้เวลาในการแก้ปัญหาแต่ละกิจกรรม 1 ชั่วโมง ใช้ควบคู่กับแผนการสอน
กำหนดรูปแบบของการวิจัยในครั้งนี้
การออกแบบการวิจัย ใช้แบบการวิจัย 2 กลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest Posttest Design) มีแผนภูมิดังนี้
สัญลักษณ์ในแบบแผนการทดลอง
X แทน การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทรงกระบอก โดยกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring)
D1 แทน การทดสอบก่อนการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
D2 แทน การทดสอบหลังการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1) สถิติพื้นฐาน
1.1) ค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใช้สูตรดังนี้ (ล้วน สายยศ; และ อังคณา
สายยศ. 2539: 59)
เมื่อ แทน คะแนนเฉลี่ย
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
1.2) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ล้วน สายยศ; และ อังคณา สายยศ.
2538: 79)
เมื่อ แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนแต่ละคนในกลุ่ม
แทน กำลังสองของคะแนนแต่ละคนในกลุ่ม
n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
สรุปผลการวิจัย
1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ โดยระบบกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง
(Coaching and Mentoring)
2. ได้แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยระบบกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกอ่านจับใจความสำคัญและแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องการอ่าน
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญสูงขึ้น
อภิปรายผล
จากการทดลองปรากฏว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ สูงขึ้น อาจเนื่องมาจาก แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การแก้ปัญหาภาษาไทยโดยระบบกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) โดยการจัดกิจกรรม Problem - based Learning ปัญหาท้าทาย แล้ววัดประเมินผลเพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่องการเรียนรู้และ การแก้ปัญหา แบ่งผู้เรียนตามเกณฑ์การแก้ปัญหาจากประสบการณ์ของผู้เรียนเป็น กลุ่ม D1 คือ ผู้เรียนที่ไม่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา โดยครูผู้สอนสัมภาษณ์เพื่อหาตัวบ่งชี้ที่เป็นอุปสรรคสำคัญของความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้เรียน แล้วแก้ไขอีกครั้งทั้งการสอนความหมายของเนื้อหา ทักษะการคิดคำนวณ การให้เหตุผล โดยครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กลุ่ม D2 คือ ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาบ้าง แต่ขาดทักษะในการเขียนเรียบเรียงขั้นตอนกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ โดยให้นักเรียนที่มีผลงานในการแก้ปัญหาได้ในระดับดีเยี่ยมเป็นผู้ช่วยแนะนำ แล้วให้ผู้เรียนได้แก้ไข แล้ววัดประเมินผลบันทึกข้อมูล ผู้วิจัยได้จัดทำกิจกรรมปัญหาท้าทายจำนวน 3 กิจกรรม โดยปัญหาท้าทายเป็นการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาซึ่งมีลักษณะที่จัดเนื้อหาการเรียนรู้จากเรื่องง่าย ๆ แล้วเพิ่มระดับความยากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 กิจกรรมจะใช้กระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) รูปแบบเดิม เป็นการเน้นย้ำให้นักเรียนเกิดทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้กระบวนการจนกระทั่งสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้
จากผลการวิจัยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญโดยระบบกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) ทำให้ผู้เรียนรับรู้และเข้าใจบทความที่อ่านมากยิ่งขึ้น มีทักษะในการอ่านเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมีความสามารถในการให้เหตุผลมากขึ้น ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญโดยระบบกระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) ที่ผู้วิจัยใช้ในการวิจัยครั้งนี้ทำให้นักเรียนพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
ข้อเสนอแนะ
1. กระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการทำงานเป็นกลุ่มและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นกิจกรรมที่พัฒนากระบวนการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี ครูผู้สอนควรนำกระบวนการนี้ไปใช้แก้ปัญหาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ในวิชาอื่น ๆ ที่ต้องใช้กระบวนการในการแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ต่อไป
2. การฝึกทักษะและการปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ครูผู้สอนควรจะค้นหา สร้างหรือเลือกใช้รูปแบบการสอน และแบบฝึกทักษะที่หลากหลาย ให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนและความสามารถของนักเรียนแต่ละคน เพื่อให้นักเรียนได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มศักยภาพของตนเอง
3. นักเรียนบางคนอาจจะมีความสามารถสูง มีทักษะในการอ่าน ครูผู้สอนควรหาแบบฝึกเพิ่มเติมให้นักเรียนทำมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้รับการพัฒนายิ่งขึ้น
4. ครูควรมีการพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมอยู่เสมอ ๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่มีความหลากหลาย และได้รับประสบการณ์มากที่สุด