สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
เนื่องด้วยภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาหนึ่งที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของโลก การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม และเพื่อใช้ความรู้ในการศึกษาต่อในระดับสูง ตลอดจนเพื่อให้สามารถนำประเทศไปสู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจ เข้าใจความแตกต่างทางด้านการเมืองและวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นพลเมืองยุคโลกาภิวัตน์การเรียนภาษาต่างประเทศจะช่วยให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้ถูกต้องเหมาะสมและมั่นใจ มีเจตคติที่ดีในการใช้ภาษาญี่ปุ่น ถ่ายทอดวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไปสู่สังคมโลก (กระทรวงศึกษาธิการ. 2544: 1) สำหรับประเทศไทย ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่คนนิยมเรียนมากที่สุด (สุมิตรา อังวัฒนกุล, 2537: 12) กระทรวงศึกษาได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาญี่ปุ่น จึงได้ปรับปรุงหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเน้นให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน (กระทรวง-ศึกษาธิการ, 2551)
ในการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นในต่างประเทศนั้น ทักษะการพูดนับว่าเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นมาก (สุมิตรา อังวัฒนกุล. 2537: 167) เนื่องจากเป็นทักษะเบื้องต้นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร แต่ทักษะการพูดเป็นทักษะที่ยากต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อุปสรรคในการพัฒนาการพูดภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนไทยมี 3 ประการสำคัญ ประการแรก คือ นักเรียนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น จึงทำให้นักเรียนไม่มีโอกาสได้พูดภาษาญี่ปุ่น นอกจากนักเรียนจะได้รับการฝึกฝนในชั้นเรียนเท่านั้น ประการที่สอง คือ นักเรียนขาดโอกาสในการฝึกพูดภาษาญี่ปุ่นและมีส่วนร่วมในการเรียนน้อย เนื่องจากครูผู้สอนมีทักษะในการสอนน้อยและอาจไม่สามารถเลือกเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมมาใช้ในการฝึกให้นักเรียนพูดและประการสุดท้าย คือ นักเรียนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการพูดภาษาญี่ปุ่น เมื่อจำเป็นต้องพูดนักเรียนรู้สึกกลัวและอาย ทักษะการพูดของนักเรียนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สองนั้น ยังถือได้ว่าเป็นทักษะที่อ่อนที่สุดจากทักษะทั้ง 4 ทักษะสำหรับผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นในทุกระดับชั้น ไบแอม(Biyeam,1997)ไม่เพียงแต่เฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา แต่ยังรวมถึงนักเรียนที่เรียนในระดับสูงที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมาหลายปี แต่ยังมีความคับข้องใจในการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องพูดกับเจ้าของภาษา เอลลิส(Ellis. 1994) กล่าวว่าการสอนทักษาการพูดภาษาญี่ปุ่นจากอดีตจนถึงปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จนัก แม้ว่าจะมีการให้นักเรียนลดการท่องจำคำศัพท์และไวยากรณ์ในประโยคไปแล้วก็ตาม ลีแอน (Lian. 1994)
จากการจัดการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ผู้วิจัยพบว่า ความสามารถในการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นด้านทักษะการพูด ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษายังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพึงพอใจนัก จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ครูประจำวิชาถึงสาเหตุของปัญหา ซึ่งมี 3 ประการดังนี้ ประการแรกคือ นักเรียนไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นในห้องเรียนมากนัก ตั้งแต่นักเรียนเริ่มเข้าเรียนในระดับอนุบาล จึงทำให้นักเรียนรู้สึกกลัวและอายในการพูดภาษาญี่ปุ่น ประการที่ 2 คือ นักเรียนขาดความรู้ในเรื่องคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น ไวยากรณ์ และการสร้างประโยคหรือวลี ประการสุดท้ายคือ มีการจัดกิจกรรมการสอนที่ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดมากนัก
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมา ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องภาษาญี่ปุ่นเพื่อที่จะความรู้มาแก้ไขปัญหาและนำมากระตุ้นให้ผู้เรียนพูด และพัฒนาภาษาของตนเองโดยสามารถพูดโต้ตอบกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้องตรงตามหลักไวยากรณ์ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของผู้วิจัยคือต้องการให้ผู้เรียนสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นในการสื่อสารได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน คือ กิจกรรมบทบาทสมมติ เป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพที่ผู้สอนนำมาใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ที่นักเรียนคุ้นเคยหรือจะต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนตามบริบทต่าง ๆ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวัน และนำ เอาการแสดงออกของผู้แสดง ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตพบมาเป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ทิศนา แขมมณี, 2551: 358) ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนำกิจกรรมบทบาทสมมติมาใช้ในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เพื่อให้สร้างเสริมผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถ และสร้างแรงจูงใจในการพูดภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน และทำให้ผู้เรียนได้เข้าถึงภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น รวมไปถึงการมีเจตคติที่ดีต่อการพูดภาษาญี่ปุ่น และสามารถนำภาษาญี่ปุ่นไปใช้ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา
เชิงปริมาณ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ 100 ได้รับการแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play)
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ประเมินการพูดภาษาญี่ปุ่น
เชิงคุณภาพ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ศิลป์ภาษาญี่ปุ่น มีทักษะการด้านการพูดภาษาญี่ปุ่นตามระดับการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ศิลป์ภาษาญี่ปุ่น มีทักษะการเรียนรู้ตามศตวรรษที่ 21 และมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาและวัฒนธรรมภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร: นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวน 19 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง: นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวน 19 คน คนโดยได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง วิชาภาษาญี่ปุ่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มีส่วนน้อยที่เป็นนักเรียนชายมีพฤติกรรมไม่ค่อยสนใจในบทเรียน ไม่ส่งการบ้านและคะแนนการทดสอบที่ผ่านมาไม่ดีเท่าที่ควร
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
การดำเนินวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือในการนำไปใช้ในการวิจัยในรูปแบบการทดลองประกอบไปด้วยเครื่องมือวิจัยดังนี้
2.1 เครื่องมือในการศึกษา
2.1.1 แผนกการสอนภาษาญี่ปุ่นที่ออกแบบแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play) ทั้งหมด 6 แผน
2.1.2 แบทดสอบหลังเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 จำนวน 3 ชุด
2.2.3 แบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่น 1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 10 ข้อ
2.2 การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
2.2.1 แผนกการสอนภาษาญี่ปุ่นที่ออกแบบแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play)
ศึกษาทฤษฎี แนวคิด หลักการ เกี่ยวกับการสอนแบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรม
บทบาทสมมติ(Role Play)
เลือกเนื้อหาจาก หนังสือแบบเรียน
สร้างแผนการสอนภาษาญี่ปุ่น โดยการสอนภาษาญี่ปุ่นที่ออกแบบแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play) จำนวน 6 แผน
เสนอแผนการสอนภาษาญี่ปุ่นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของแผนการสอนทั้ง
เนื้อหา และรูปแบบของแผนการสอน แล้วนำมาปรับปรุงแก้ตามคำแนะนำ
จัดทำแผนทั้ง 6 แผนให้สอดคล้องตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
เสนอแผนการสอนภาษาญี่ปุ่นทั้ง 6 แผน ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของ
แผนการสอนทั้งเนื้อหา และรูปแบบของแผนการสอน แล้วนำมาปรับปรุงแก้ตามคำแนะนำ
นำแผนการสอนภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับการพิจารณาแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวน 19 คน
2.2.2 แบทดสอบหลังเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 จำนวน 3 ชุด
กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการวัด
สร้างตารางวิเคราะห์เนื้อหา และจำนวนข้อสอบ
สร้างแบบทดสอบ จำนวน 3 ชุด ชุดละ 15 ข้อ
เสนอข้อสอบทั้ง 3 ชุด ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา และรูปแบบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ตามคำแนะนำ
นำข้อสอบภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับการพิจารณาแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวน 19 คน ที่ได้รับการสอนโดยวิธีปรับประยุกต์หลักสูตรฐานสมรรถนะในการพัฒนาความสามารถเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนรายบุคคลของนักเรียน
แบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่น
กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการวัดแบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่น จำนวน 1 ชุด ชุดละ 10 ข้อโดยใช้ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามวิธีการของ Linkert ซึ่งมีตัวเลือกให้เลือก 5 ข้อ โดยถือ
เกณฑ์น้ำหนักในการให้คะแนนตัวเลือกของข้อคำถามประเภททางบวก และ ประเภททางลบ
ดังนี้ (บุญเรียง ขจรศิลป์, 2530)
ข้อคำถามประเภททางบวก
Favorable Statement ข้อคำถามประเภททางลบ
Unfavorable Statement
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 5 คะแนน
เห็นด้วย ให้ 4 คะแนน
ไม่แน่ใจ ให้ 3 คะแนน
ไม่เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 5 คะแนน
ไม่เห็นด้วย ให้ 4 คะแนน
ไม่แน่ใจ ให้ 3 คะแนน
เห็นด้วย ให้ 2 คะแนน
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้ 1 คะแนน
กำหนดเกณฑ์ในการคิดคะแนนเฉลี่ยของแบบสอบถามตามเกณฑ์ของ ศักดิ์ชัย เสรีรัฐ (2530) ดังนี้
ถ้าคะแนนเฉลี่ยมีค่าน้อยกว่า 1.55 แสดงว่ามีเจตคติที่ไม่ดีอย่างมากต่อวิชาภาษาญี่ปุ่น
ถ้าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.56 2.55 แสดงว่ามีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาภาษาญี่ปุ่น
ถ้าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2.56 -3.55 แสดงว่ามีเจตคติปานกลางต่อวิชาภาษาญี่ปุ่น
ถ้าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.56 4.55 แสดงว่ามีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาญี่ปุ่น
ถ้าคะแนนเฉลี่ยมากกว่า 4.55 แสดงว่ามีเจตคติที่ดีอย่างมากต่อวิชาภาษาญี่ปุ่น
เสนอแบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่น
ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา และรูปแบบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ตามคำแนะนำ นำข้อสอบภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับการพิจารณาแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวน 19 คน ที่ได้รับการสอนโดยปรับประยุกต์หลักสูตรฐานสมรรถนะในการพัฒนาความสามารถเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนรายบุคคลของนักเรียน
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การศึกษาเรื่อง การแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ซึ่งผู้ศึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลเป็นขั้นต่อไปนี้
3.1 เตรียมเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้พร้อม
3.2 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 6 แผน พร้อมปรึกษาเครื่องมือกับผู้เชี่ยวชาญ
3.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ 6 แผนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย
3.4 ผู้วิจัยจัดทำการสอนตามการแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play)
3.5 หลังจากทำการสอนจนครบ ทั้ง 6 แผน
3.5.1 ผู้วิจัยได้ทำการประเมินคะแนน จากแบบประเมินเกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางภาษญี่ปุ่น โดยประเมินหลังแผนการสอนทุกครั้ง
3.5.2 ผู้วิจัยได้ทำการประเมินคะแนน จากแบบประเมินเกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางภาษญี่ปุ่น หลังจากเรียนจนครบทั้ง 6 แผน
3.5.3 จัดทำแบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยการแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play)
3.6 เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำ ไปวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานในการหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละจากข้อมูลแบบประเมินเกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางภาษญี่ปุ่น วิเคราะห์หาค่าความถี่และค่าเฉลี่ยของแบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดย การแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ(Role Play)
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานในการหาค่าเฉลี่ยค่าร้อยละจากข้อมูลแบบประเมินเกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางภาษญี่ปุ่น วิเคราะห์หาค่าความถี่และค่าเฉลี่ยของแบบวัดทัศนคติของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่มีต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยวิธีการแก้ปัญหาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ARCS Model ร่วมกับกิจกรรมบทบาทสมมติ (Role Play)
ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง ( ตามประเด็นท้าทายที่ตกลง)
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยแบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ประสิทธิภาพของกิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
กลุ่มตัวอย่าง (คน) คะแนนเฉลี่ย
(E1) คะแนนเฉลี่ย
(E2) เกณฑ์มาตรฐาน
19 79.05 81.46 75/75
จากตารางที่ 1 พบว่า ผลการหาประสิทธิภาพของการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 จำนวน 19 คน ได้ผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1)กับประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)ดังนี้ การทดสอบระหว่างเรียน จำนวน 4 ครั้ง (E1) มีค่าเท่ากับ 79.05 และการทดสอบหลังเรียนเสร็จสิ้นการเรียน (E2) มีค่าเท่ากับ 81.46 จึงกล่าวได้ว่ากิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.05/81.46 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 75/75 แสดงว่ากิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เป็นแผนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
ตอนที่ 2 ทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบเพื่อวัดทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นก่อนและหลังเรียนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง และนำค่าเฉลี่ยของคะแนนจากแบบทดสอบก่อนและหลังการทดลองมาเปรียบเทียบกัน
ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีของคะแนนสอบก่อนและหลังเรียน หลังจากจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นโดยการสอนแบบ
การทดสอบ n (x̄) S.D. D t Sig.(1-tailed)
ก่อนเรียน 19 16.82 3.90 1.04 20.96* 0.00
หลังเรียน 19 26.03 4.55
* มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จากตารางที่ 2 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนสอบก่อนเรียนคือ 16.82 (S.D. = 3.90)และค่าเฉลี่ยคะแนนสอบหลังเรียนคือ 26.03 (S.D. = 4.55) มีค่าความต่างของคะแนนสอบหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียน 1.04 คะแนน เมื่อทำการทดสอบค่าที พบว่า ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนสูงขึ้นหลังการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ตอนที่ 3 ความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่น
หลังจากกิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 แล้ว ผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่น โดยผู้วิจัยนำผลจากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่น อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄) = 4.53 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือข้อ 4 การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและการซักถาม (x̄) = 4.70 และข้อ 6 พื้นที่ในการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม (x̄) = 4.70 รองลงมาคือข้อ 3 การใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่าย (x̄) = 4.60 ถัดมาคือข้อ 7 ความพร้อมของอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ (x̄) = 4.40 และข้อ 9 ความรู้ ความเข้าใจหลังการเรียน (x̄) = 4.40 รองลงมาคือข้อ 2 การถ่ายทอดของครูผู้สอนสามารถอธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและตรงประเด็น (x̄) = 4.30 ถัดมาคือข้อ 5 ระยะเวลาในการการเรียนมีความเหมาะสม (x̄) = 4.30 และข้อ 11 สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ (x̄) = 4.30 ถัดมาคือข้อ 1 การเตรียมความพร้อมของ(x ̅) = 4.20 และข้อ 10 สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน (x̄) = 4.20
อภิปรายผล
การวิจัย เรื่อง การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้
1. ผลการวิจัยในครั้งนี้ทำให้ทราบว่านักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ มีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการพูดภาษาญี่ปุ่นสูงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติมีขั้นตอนที่ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการใช้ภาษาญี่ปุ่น สามารถฝึกการพูดคุยในกลุ่มย่อยและใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จริง จึงส่งผลให้คะแนนหลังจากกันนักเรียนมีคะแนนสูงขึ้น ดังรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การสอน ดังนี้
แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย ขั้นนำ ขั้นนำเสนอ ขั้นฝึก ขั้นนำไปใช้ และขั้นสรุป ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นนำ เป็นการปูพื้นฐานความรู้ที่นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับบทเรียนนั้น ๆ การนำเสนอนักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์หรือและโครงสร้างเกี่ยวกับบทเรียนนั้น ๆ
ขั้นฝึก นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกใช้คำศัพท์ การฝึกใช้ประโยค การฝึกใช้สำนวน ในบทเรียนนั้น
ขั้นนำไปใช้นักเรียนสามารถต่อยอดความรู้โดยการคิดเอง ปฏิบัติเองโดยผ่านทางแสดงบทบาทสมมติ รับบทบาทต่าง ๆ ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ โดยนำความรู้ที่นักเรียนได้จากบทเรียนนั้นไปต่อยอดเป็นความคิดของตนเอง
ขั้นสรุป นักเรียนสรุปเนื้อหาในบทเรียนนั้นโดยความเข้าใจของนักเรียน
ผลการจัดกิจกรรมบทบาทสมมติที่กล่าวมาล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายได้รับการสอนและพัฒนาทักษะการพูดทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของกาญจนาเกตุบรรจง (2540: บทคัดย่อ นักศึกษามีความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารพฤติกรรมกล้าแสดงออกและมีเจตคติต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นโดยใช้วิธีบทบาทสมมติและวิธีสอนตามคู่มือครูพบว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติจะมีความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยวิธีปกติ
2. ระดับความสามารถในการพูดภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 หลังเรียน โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติพบว่าระดับความสามารถในการพูดภาษาญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงขึ้น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.59 ซึ่งสอดคล้องกับวิจัยของวัชรพงษ์ ทองงาม (2541: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การพัฒนากิจกรรมการละครแบบมีบทพูดเพื่อส่งเสริมพัฒนาทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมละครที่แบบมีบทพูด
เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังพูดภาษาญี่ปุ่นของนักเรียนได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถของนักเรียนมากและทำให้นักเรียนมีความคิดเห็นในเชิงบวกและความคิดเห็นต่อกิจกรรม
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยของ การเตรียมความพร้อมของครูผู้สอนอยู่ในระดับมาก การถ่ายทอดของครูผู้สอนสามารถอธิบายเนื้อหา ได้ชัดเจนและตรงประเด็นมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก การใช้ภาษาที่เหมาะสมและเข้าใจง่ายมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและการซักถามมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ระยะเวลาในการการเรียนมีความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ยนอยู่ในระดับมาก พื้นที่ในการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ความพร้อมของอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้หลังการเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัย
1. ครูผู้สอนควรศึกษารูปแบบการสอนภาษาญี่ปุ่นโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติให้เข้าใจก่อนการนำไปใช้เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. ควรให้นักเรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์จริงอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
3. การเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ได้ผลควรมีจำนวนนักเรียนไม่มากทั้งนี้เพราะทุกคนจะได้มีโอกาสฝึกฝนอย่างเต็มที่
4. ควรให้นักเรียนได้มีโอกาสเลือกเนื้อหาในการเรียนการสอนเพราะจะทำให้นักเรียนมีความสนใจในกระบวนการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น
5. การเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติไม่ควรจะจัดซ้ำกันบ่อยในรูปแบบเดิมประจำ การเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติไม่ควรจะจัดซ้ำกันบ่อยในรูปแบบเดิมเพราะจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายได้
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
1. นำกิจกรรมบทไปใช้เป็นเครื่องมือวัดความคงทนต่อการใช้คำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ที่นักเรียนได้เรียนไปแล้วเปรียบเทียบกับการเรียนโดยวิธีปกติ
2. เอากิจกรรมบทบาทสมมติใช้เป็นกิจกรรมในการเรียนที่ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์เช่นการแสดงละครในแนวคิดสร้างสรรค์
3. ในการเรียนโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติควรจะต้องปูพื้นฐานให้นักเรียนเรียนรู้คำศัพท์เขียนบทสนทนาง่าย ๆ ก่อนจึงควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนและการพูดต่อไป