ชื่อเรื่อง การพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโดยใช้รูปแบบการนิเทศภายใน SPICER ของโรงเรียนบ้านราหุล
ผู้รายงาน นุตประวีณ์ ภัครวัฒน์อังกูร
ปี พ.ศ. 2566
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านราหุล (2) สร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศภายใน SPICER เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านราหุล (3) ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศภายใน SPICER และประเมินผลพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านราหุล และ (4) ศึกษาความพึงพอใจของครูโรงเรียนบ้านราหุลที่มีต่อการใช้รูปแบบการนิเทศภายใน SPICER กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คณะกรรมการการบริหารโรงเรียนบ้านราหุล จำนวน 14 คน ประกอบด้วย ครูประจำการ จำนวน 14 คน คณะกรรมการสถานศึกษา จำนวน 4 คน และผู้ปกครองในคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองระดับสถานศึกษา 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ (1) แบบสอบถามการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน และสภาพที่คาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียน (2) แบบสังเกตและบันทึกการจัดกลุ่มสนทนาประเด็นเฉพาะ (Focus Group) (3) แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ (4) แบบสอบถามการประเมินโครงร่างรูปแบบการนิเทศภายในแบบสอนงาน (5) แบบประเมินคุณลักษณะพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (6) แบบประเมินสภาพการณ์ดำเนินการพัฒนาคุณลักษณะพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (7) แบบบันทึกความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณลักษณะพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (8) แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (9) แบบประเมินสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินการพัฒนาและใช้รูปแบบการนิเทศภายในแบบสอนงานเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและ (10) แบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้ศึกษาความพึงพอใจในการใช้รูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้กระบวนการนิเทศภายในด้วยรูปแบบผสมผสาน เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านจัดสรร จังหวัดเพชรบูรณ์ ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า
ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ พบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านราหุลโดยภาพรวมยังอยู่ในระดับน้อย (ค่าเฉลี่ย 2.10) ในทุกมิติ ตั้งแต่การวางแผนการสอน (ค่าเฉลี่ย 1.92) ที่ยังไม่เน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนและการประเมินผลเชิงปฏิบัติ, การดำเนินการจัดกิจกรรม (ค่าเฉลี่ย 1.95) ที่ครูยังไม่ได้ใช้คำถามปลายเปิดอย่างเต็มที่, การใช้สื่อและเทคโนโลยี (ค่าเฉลี่ย 2.32) ที่ยังขาดการส่งเสริมให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง, ไปจนถึงการประเมินผลการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย 2.22) ที่ยังขาดการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ที่เฉพาะเจาะจง ผลการวิจัยนี้จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาทักษะและพฤติกรรมการสอนของครูให้สอดคล้องกับแนวคิด Active Learning เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในภาพรวม และ 2) ความต้องการในการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ครูโรงเรียนบ้านราหุลมีความต้องการในการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับ "มากที่สุด" (ค่าเฉลี่ย 4.79) ในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความรู้และทฤษฎี (ค่าเฉลี่ย 4.81) ทักษะปฏิบัติ (ค่าเฉลี่ย 4.80) และการสนับสนุนจากโรงเรียน (ค่าเฉลี่ย 4.78) ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าครูมี แรงจูงใจและมีความพร้อมสูงมาก ที่จะได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญ เช่น การจัดการกลุ่ม การตั้งคำถาม การสร้างสื่อ และการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) รวมถึงมีความต้องการการสนับสนุนจากโรงเรียนในรูปแบบของการนิเทศแบบโค้ชชิ่งและการสร้างชุมชนการเรียนรู้ (PLC) ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการนำรูปแบบการนิเทศใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศภายใน SPICER พบว่า รูปแบบการนิเทศภายใน SPICER เป็นกระบวนการที่มีแบบแผนและต่อเนื่อง 6 ขั้นตอน โดยเริ่มจากการ วิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของครู (Study and Analysis) เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอน การวางแผน (Planning Design) ที่เป็นการจัดทำแผนนิเทศร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และใช้กระบวนการ PLC ในการกำหนดแนวทางและเครื่องมือ ในขั้นตอน การกำหนดกระบวนการนิเทศ (Internal Supervision Process) ได้มีการสร้างความเข้าใจร่วมกันและกำหนดเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเก็บข้อมูลและ PLC Online เพื่อลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญคือ การชี้แนะและเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) ซึ่งเน้นการสังเกตการสอนแบบกัลยาณมิตร การให้ Feedback เชิงบวก และมีการประเมินผลการสอนตามเกณฑ์ที่ชัดเจน และผลจากการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนจะถูกนำไปสู่ การประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Evaluation for Development) โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทั้งภาพรวมและรายด้าน และจัดทำสารสนเทศเพื่อเป็นข้อมูลย้อนกลับให้ครูและผู้นิเทศนำไปปรับปรุงแก้ไข สุดท้ายในขั้นตอน การสะท้อนผลและรายงานผล (Reflection and Reporting) มีการจัดวง PLC เพื่อให้ครูและผู้บริหารได้ร่วมกันสะท้อนผลการนิเทศและกำหนดแนวทางร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Best Practice และเตรียมข้อมูลเพื่อใช้เป็นฐานในการวางแผนนิเทศสำหรับปีการศึกษาถัดไป
ความเหมาะสมของรูปแบบการนิเทศ SPICER พบว่า รูปแบบดังกล่าวมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.69) ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับจากทั้งคณะกรรมการพัฒนารูปแบบฯ และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เมื่อพิจารณารายละเอียด พบว่าด้านที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือ ความชัดเจนและความเป็นระบบของกระบวนการ (ค่าเฉลี่ย 4.88) ซึ่งรวมถึงการมีขั้นตอนที่สัมพันธ์กันและการให้ความรู้แก่บุคลากรก่อนการนิเทศ นอกจากนี้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังเห็นว่าการประชุมหารือร่วมกันมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา (ค่าเฉลี่ย 4.85) และในภาพรวม ทุกองค์ประกอบของรูปแบบ SPICER ได้รับการประเมินว่า มีความเหมาะสมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการประเมินผล การให้คำปรึกษา และการสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้รูปแบบนี้สามารถช่วยพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูและยกระดับคุณภาพของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้และประเมินผล พบว่า ผลการประเมินโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.64 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศนี้ในการพัฒนาครู โดยหลังจากได้รับการนิเทศตามรูปแบบดังกล่าว ครูมีการพัฒนาในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านการเตรียมความพร้อมก่อนสอน ครูมีความพร้อมในการวางแผนและเตรียมการในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.69 ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูสามารถจัดกิจกรรมที่ตอบสนองตามมาตรฐานในหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.63 ด้านบรรยากาศและสภาพห้องเรียน ครูสามารถจัดบรรยากาศในห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.70 และ 4.61ด้านสื่อ นวัตกรรม และอุปกรณ์การสอน การใช้สื่อการสอนของครูได้รับการประเมินว่าอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.77 ด้านการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินผลตามสภาพจริงได้ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.65 และด้านการนำผลการประเมินไปปรับปรุง ครูสามารถนำผลการประเมินการสอนไปใช้ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไปได้ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.50 โดยผลการทดลองยืนยันว่ารูปแบบการนิเทศ SPICER มีประสิทธิผลสูงในการช่วยให้ครูโรงเรียนบ้านราหุลสามารถพัฒนาพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งเป็นผลดีต่อคุณภาพการเรียนการสอนและนักเรียนโดยรวม
ขั้นตอนที่ 4 การประเมินความพึงพอใจ พบว่า ความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการนิเทศภายในด้วยรูปแบบ SPICER เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านราหุล พบว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและประสิทธิผลของรูปแบบ ได้แก่ ครูผู้สอนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.64 ซึ่งแสดงว่าครูเห็นประโยชน์และยอมรับรูปแบบการนิเทศนี้ในการพัฒนาตนเอง คณะกรรมการนิเทศภายในมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.63 สะท้อนว่าคณะกรรมการฯ เห็นว่ารูปแบบ SPICER มีความเหมาะสมและสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองและเครือข่าย มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.68 ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ปกครองและชุมชนมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และนักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.81 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แสดงว่านักเรียนรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
คำสำคัญ: รูปแบบการนิเทศภายใน; SPICER Model; พฤติกรรมการจัดการเรียน; การจัดการเรียนรู้เชิงรุก
 
Title: The Development of Teachers Active Learning Instructional Behaviors Through the SPICER Internal Supervision Model at Ban Rahun School
Researcher: Nutpravee Pakarawattanangkul
Year: 2023
Abstract
This study aimed to: (1) investigate the current state and needs for developing active learning instructional behaviors among teachers at Ban Rahun School, (2) create and develop the SPICER internal supervision model to promote these behaviors, (3) implement the SPICER model and evaluate its effectiveness on teachers’ instructional behaviors, and (4) assess the satisfaction of teachers, supervision committee members, students, and parents with the SPICER model. The target groups included 10 members of the Ban Rahun School administration committee (6 in-service teachers and 4 school board members), 15 parents from the school’s parent network, and a total of 60 participants from three groups: the internal supervision committee (5 members), the mixed-model supervision guideline creation committee (10 members), and teachers, students, parents, and networks (totaling 60 people). The research instruments comprised various questionnaires, observation forms, and interview guides. Data was analyzed using computer software. The key findings were as follows:
Step 1: Current State and Needs Assessment
The study found that the overall active learning instructional behaviors of teachers at Ban Rahun School were at a low level (mean score 2.10). This was consistent across all dimensions:
Instructional Planning: Behaviors were at a low level (mean 1.92), with particular weaknesses in designing assessment methods and lesson plans that emphasize student participation (mean 1.60).
Activity Implementation: This dimension was also low (mean 1.95). Teachers used few open-ended questions and rarely provided opportunities for students to present their work.
Media and Technology Use: Overall use was low (mean 2.32), especially in encouraging students to create their own work using technology (mean 2.00).
Learning Assessment: This was at a low level (mean 2.22), with a significant weakness in providing specific and constructive feedback.
The findings clearly indicated an urgent need to develop teachers’ skills and behaviors to align with Active Learning principles. Conversely, the study revealed that teachers’ need for development was at the highest level (mean 4.79) across all dimensions, including knowledge and theory (mean 4.81), practical skills (mean 4.80), and school support (mean 4.78). This indicated that teachers were highly motivated and ready for development, which served as a crucial facilitating factor for implementing new supervision models.
Step 2: Creation and Development of the SPICER Model
The research team developed the SPICER internal supervision model as a structured, continuous 6-step process. The steps included Study and Analysis to assess needs, Planning Design with a focus on collaborative planning, and an Internal Supervision Process that utilized technology and online Professional Learning Communities (PLCs). This was followed by the key Coaching and Mentoring phase, which emphasized friendly observation and positive feedback. The process concluded with Evaluation for Development and Reflection and Reporting, where data was analyzed, and best practices were documented for future use. The study found that the SPICER model was highly appropriate (mean 4.69), with the highest scores given to the clarity and systematic nature of the process (mean 4.88) and the usefulness of collaborative meetings (mean 4.85). All components were deemed suitable and practical.
Step 3: Implementation and Evaluation
The implementation of the SPICER model proved to be highly effective, with an overall evaluation score of "highest level" (mean 4.64). Teachers showed significant improvement in all aspects: Pre-Instructional Preparation: Mean 4.69, Activity Design and Implementation: Mean 4.63, Classroom Atmosphere: Mean 4.70 and 4.61, Media and Innovation: Mean 4.77, Authentic Assessment: Mean 4.65, Using Evaluation Results for Improvement: Mean 4.50. The results confirmed that the SPICER model was highly effective in improving teachers’ active learning instructional behaviors.
Step 4: Satisfaction Assessment
The study on satisfaction with the SPICER model revealed that most stakeholders were highly satisfied.
Teachers: Showed the highest level of satisfaction (mean 4.64), indicating that they found the model beneficial for their professional growth.
Internal Supervision Committee: Also showed the highest level of satisfaction (mean 4.63), confirming the model’s suitability and effectiveness.
Parents and Networks: Were highly satisfied (mean 4.68), seeing the positive impact on the schools educational quality.
Students: Showed a "high" level of satisfaction (mean 2.81), which was lower than other groups but still positive, suggesting they perceived the changes in their classrooms.
Keywords: Internal Supervision Model; SPICER Model; Instructional Behavior; Active Learning.