กลุ่มสาระการเรียนรู้ : ศิลปะ
บทคัดย่อ :การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาศิลปะในปัจจุบัน ยังขาดสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเรียน เรียนไม่เข้าใจเกิดความเบื่อหน่าย
ไม่อยากเรียน ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาค้นคว้าจึงได้การจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จาก
สภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนเมืองปราณบุรี โดยมีความมุ่งหมายเพื่อจัดการเรียนการสอนในรายวิชาศิลปะ โดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิต กลุ่มตัวอย่างที่
ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนเมืองปราณ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2566 จำนวน 20 คน ใช้เวลาในการทดลอง 20 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าคือแบบเก็บข้อมูล
เพื่อวิเคราะห์ และจัดเก็บข้อมูล
ผลการศึกษาค้นพบว่า การพัฒนาทักษะอาชีพ ด้วยการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้จากสภาพจริง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีพัฒนาทักษะอาชีพมากขึ้น แสดงว่าการจัดการเรียนรู้
ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง ทำให้ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้น
นักเรียนที่เรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง มีความพึงพอใจโดยรวม และเป็นราย
ด้านทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านความรู้และประสบการณ์ ด้านตัวอักษรและสี ด้านเนื้อหาและการดำเนินเรื่องและ
ด้านภาพ อยู่ในระดับดีมาก บทเรียนแบบเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และอินโฟกราฟิก(Infographic) ที่ได้พัฒนาขึ้น
นี้เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพเหมาะสม ผู้เรียนมีความพึงพอใจ สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้
ภูมิหลัง
การเปลี่ยนแปลงสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี
การปรับเปลี่ยนปฏิรูปสังคมไปสู่ความเป็นสังคมใหม่ ประกอบกับแนวคิดใหม่ในการจัดการศึกษาขั้น
พื้นฐานที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนที่สมบูรณ์มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายจิตใจสติปัญญา อารมณ์ และ
สังคมสามารถพัฒนาตนเองและร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ที่ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความ
งาม สุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ ดังนั้นการจัดกิจกรรมศิลปะสามารถ
นำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนโดยตรงทั้งด้านร่างกายจิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม ตลอดจน
นำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง และแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์
การเรียนการสอนศิลปศึกษาในปัจจุบันนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของมนุษย์ซึ่งสอดคล้อง
กับ เลิศ อานันทนะ (2535 : 46)
กล่าวว่า ศิลปะมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เสมือนเป็นกุญแจที่ไขประตูแห่งการพัฒนาความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์และก้าวไปสู่โลกแห่งจินตนาการอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือใน
การพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรมของบุคคลเพื่อให้เป็นพลเมือง
ดีที่มีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ
การพัฒนากระบวนการรับรู้ทางศิลปะ การเห็นภาพรวม การสังเกตรายละเอียดสามารถ
ค้นพบศักยภาพของตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ด้วยการมีความ
รับผิดชอบ มีระเบียบวินัย สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข การเรียนรู้ศิลปะ มุ่งพัฒนาผู้เรียน
ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การคิดที่เป็นเหตุเป็นผลถึงวิธีการทางศิลปะ ความเป็นมาของรูปแบบภูมิ
ปัญญาท้องถิ่น และรากฐานทางวัฒนธรรม ค้นหาว่าผลงานศิลปะสื่อความหมายกับตนเอง ค้นหา
ศักยภาพ ความมั่นใจส่วนตัว ฝึกการรับรู้ การสังเกตที่ละเอียดอ่อนอันนำไปสู่ความรัก เห็นคุณค่าและ
เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะและสิ่งรอบตัว พัฒนาเจตคติ สมาธิ รสนิยมส่วนตัว มีทักษะ
กระบวนการ วิธีการแสดงออก การคิด สร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนตระหนักถึงบทบาทของศิลปกรรม
ในสังคม ในบริบทของการสะท้อนวัฒนธรรมทั้งของตนเองและวัฒนธรรมอื่นพิจารณาว่าผู้คนใน
วัฒนธรรมของตนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่องานศิลปะ ช่วยให้มีมุมมองและเข้าใจโลกทัศน์กว้างไกล ช่วย
เสริมความรู้ ความเข้าใจมโนทัศน์ด้านอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นมุมมองของชีวิตสภาพเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง การปกครอง และความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา ด้วยลักษณะธรรมชาติของกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ศิลปะ การเรียนรู้เทคนิค วิธีการทำงาน ตลอดจนเปิดโอกาสให้แสดงออกอย่างอิสระ ทำให้ผู้เรียน
ได้รับการส่งเสริม สนับสนุนให้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดัดแปลงจินตนาการ มีสุนทรียภาพ และเห็นคุณค่า
ของศิลปะ วัฒนธรรมไทยและสากล (กรมวิชาการ.2546 : 1-2) กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเสริมสร้าง
ให้ชีวิตมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ช่วยให้มีจิตใจงดงาม มีสมาธิ สุขภาพกายและสุขภาพจิตมีความสมดุล อันเป็นรากฐานของการพัฒนา
ชีวิตที่สมบูรณ์ เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติโดยส่วนตน และส่งผลต่อการยกระดับ
คุณภาพของชีวิตของสังคมโดยรวม (กรมวิชาการ. 2546 : 2)
ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์นั้น คือการที่
นักเรียนลอกเลียนแบบงานจากอินเทอร์เน็ต นักเรียนไม่สามารถแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ต่อ
ชิ้นงานได้ ซึ่งส่งผลไม่ดีต่อการเรียนวิชาศิลปะ คุณภาพของงานศิลปะมีรูปแบบที่ซ้ำกัน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองปราณบุรี อำเภอปราณบุรี
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นักเรียนมีผลงานที่ซ้ำกันเนื่องจากคัดลอกรูปแบบจากอินเตอร์เน็ต ไม่สามารถ
สร้างสรรค์ผลงานขึ้นเองได้หากไม่คัดลอกรูปภาพของบุคคลอื่น ครูผู้สอนจะต้องหาแนวทางปรับปรุงและ
พัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ โดยจัดกิจกรรมการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้
คิดแบบสร้างสรรค์ มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ มีทักษะในการเรียนศิลปะ มีทักษะในการแก้ปัญหา
ปลูกฝังทักษะในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ในการ
ทำงานในรูปกระบวนการกลุ่มและให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อที่ 14.4
สถานศึกษาส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้และสื่ออุปกรณ์การเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้
และข้อที่ 15.5 สถานศึกษามีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านศิลปะ/ดนตรี/นาฏศิลป์/กีฬา/นันทนาการ
จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาค้นคว้าจึงได้หาวิธีการและแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคิดหา
เครื่องมือเข้ามาช่วยในการสอน การสร้างสรรค์ผลงานด้วยจินตนาการตนเอง การวาดภาพระบายสี จึง
ได้วางแผนดำเนินการแก้ไข ดังนี้คือ ศึกษาวิธีการสอนจากเอกสารหลักสูตร ตำรา ที่เกี่ยวกับเทคนิคการ
สอนแบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของ
หลักสูตร ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการสอนการวาดภาพระบายสี รวมทั้งการผลิตสื่อการเรียนการ
สอน จัดสร้างสื่อ และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการสอน เช่น อินโฟกราฟิก สื่อประสม
วีดิทัศน์หนังสือ เอกสารประกอบการเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถค้นคว้าได้ด้วยตนเองและสนใจเรียน
มากขึ้น บทเรียนสื่อประสมนับว่าเป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งเหมาะที่จะ
นำ มาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพราะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีการศึกษา สื่อการสอนเทคนิค
วิธีการใหม่ ๆ เข้ามาประกอบการเรียนการสอน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่ง ที่จะนำมาแก้ปัญหาดังกล่าวได้ การ
นำนวัตกรรมในรูปของชุดสื่อประสม (Multimedia Kits) เข้ามาเสริมในการจัดการเรียนการสอน จะทำ
ให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้ตามจุดหมายที่หลักสูตร
กำหนดไว้ บทเรียนสื่อประสมเป็นการรวบรวมเอาวัสดุอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยสื่อมากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไป
มาจัดไว้เกี่ยวเนื่องกันในเนื้อหาวิชาเพียงเรื่องเดียวและบทเรียนสื่อประสมยังเป็นรูปแบบของบทเรียนที่
สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือครูให้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น (Brown. 1973 : 338)
ผู้ศึกษาค้นคว้าได้นำปัญหาการจัดกระบวนการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ
สาระทัศนศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระศิลปะที่จะแก้ปัญหาให้ได้ในปี
การศึกษา2561 โดยการผลิตเครื่องมือแบบเก็บข้อมูล เพื่อประกอบการสอน บทเรียนนี้จะประกอบไป
ด้วย แบบเก็บข้อมูล สื่อการอินโฟกราฟิก เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ที่
เกิดขึ้นและทำนักเรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้จากจินตนาการของตนเอง
3
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อศึกษาการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะ
อาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี
2. เพื่อประเมินทักษะอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิต
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า
1. แบบเก็บข้อมูล การเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง
เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน
เมืองปราณบุรี
2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนและผู้สนใจ ในการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
หรือวิชาอื่น ๆ ต่อไป
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์
2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ที่
กำลังเรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งหมด จำนวน 20 คน ได้มาจากการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เรื่องรูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนา
ทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิต กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
เวลา 20 ชั่วโมง
4. ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า ดำเนินการใช้แบบเก็บข้อมูลกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
ระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 รวมเวลา 20 ชั่วโมง
อภิปรายผล
จากการศึกษาค้นคว้าเรื่องการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง
เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนเมืองปราณบุรี
มีประเด็นที่พบดังนี้
1. การจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนา
ทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี
ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพขึ้น มีประสิทธิภาพแตกต่างจากเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01 โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.86/88.88 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 หมายความว่า
บทเรียนแบบเก็บข้อมูลเพื่อสร้างอินโฟกราฟิก ดังกล่าวเหมาะสมที่จะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน ให้กับนักเรียนทั้งนี้เนื่องจากผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาการการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี ที่นำสื่อหลาย ๆ ชนิดมาจัดกิจกรรมประกอบการสอนด้วย
นอกจากนั้นยังได้ศึกษากิจกรรมการเรียนรู้จากเอกสาร งานวิจัยต่าง ๆ จากผู้มีประสบการณ์ รวมถึง
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องได้ตรวจสอบความถูกต้องของสื่อที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้นี้ให้ดียิ่งขึ้น จึงทำ
ให้ผลการเรียนรู้ของนักเรียนอยู่ในระดับที่ดี บทเรียนสื่อประสมจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ดีชนิดหนึ่ง ผลจากการทดลองและผ่านการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้การจัดการเรียนรู้
ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับ
ประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่
กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า เครื่องมือในการวิจัยเหล่านี้เมื่อจะนำไปใช้จะต้องมีคุณภาพ
(สมนึก ภัททิยธนี. 2548 : 73) เมื่อบทเรียนสื่อประสมได้ผ่าน
การทดสอบตามกระบวนการทางการวิจัยทุกขั้นตอน มีการแก้ไขปรับปรุงทุกขั้นตอนให้เหมาะสมจนทำ
ให้บทเรียนสื่อประสมมีประสิทธิภาพของกระบวนการ 89.86 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ เป็นไปตามเกณฑ์
ยอมรับประสิทธิภาพที่มีระดับสูงกว่าเกณฑ์ สอดคล้องกับ ไพบูลย์ คำกันยา (2541 :บทคัดย่อ) พบว่า
ชุดสื่อประสมที่สร้างขึ้นสูงกว่าก่อนเรียน และอัมพร กุลาเพ็ญ (2542 : บทคัดย่อ
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบเก็บข้อมูลเพื่อสร้างอินโฟกราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 0.6796 แสดงว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.96 ทำให้เห็นว่าการเรียนรู้โดยใช้แบบเก็บข้อมูลเพื่อสร้างอินโฟกราฟิก ทำให้นักเรียนได้ทักษะ
ในการปฏิบัติและได้ความรู้จากกิจกรรมประกอบบทเรียน จึงส่งผลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างดี
มีผลการเรียนจากบทเรียนสื่อประสมเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสมหมาย บำรุง (2545 : 81-82) พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.14 / 82.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80 / 80 ที่กำหนดไว้ดัชนี26 ประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7233 หมายความว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.33 นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 78.76 มีความพึงพอใจเกี่ยวกับแบบเก็บข้อมูลเพื่อสร้างอินโฟ
กราฟิก อยู่ในระดับมากและชาญยุทธ์ ผลาพฤกษ์ (2547 : 73) พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบ
ประกอบการสอนมีค่าเท่ากับ 0.68 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า
คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
3. จากการประเมินทักษะอาชีพของการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี ทำให้ทราบว่านักเรียนมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติ
กิจกรรมด้วยความตั้งใจสนุกสนานเพราะนักเรียนเห็นว่าสื่อดังกล่าวต้องทำตามขั้นตอนของกิจกรรมที่
กำหนดไว้ทุกขั้นตอน มีคำแนะนำน่าสนใจ ทำให้ผู้เรียนอยากรู้อยากเรียน ผลจากการประเมินทักษะ
อาชีพ ของการร่วม การจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนา
ทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี
จึงมีผลโดยรวมร้อยละ 92.25 ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้จากรูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพ
จริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิต อยู่ในระดับคุณภาพ ดีมาก ทุกชุด
สอดคล้องกับ เกรียงไกร เจริญพงศ์(2542 : บทคัดย่อ) พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้
ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับ
ประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูง
กว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของ
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี นักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก
ที่สุด ทุกข้อ การปฏิบัติกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม เด็กเก่ง เด็กปานกลาง และเด็กอ่อน มีความชื่นชอบ
ต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะทั้งสิ้นหากครูผู้สอนจัดหาสื่อที่เหมาะสมกับวัยและระดับความสามารถของ
ผู้เรียนก็จะทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนนั้น สอดคล้องกับชาญยุทธ์ ผลาพฤกษ์ (2547 :
73) พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนอยู่ในระดับพึงพอใจมาก เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า
คุณภาพและระดับความง่ายไม่ซับซ้อน อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด และศิวาพร ฉายชัยภูมิ (2548 :
77)พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนด้วยชุดสื่อประสมโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะนำสำหรับการนำผลการศึกษาค้นคว้าไปใช้
1.1 การใช้แบบเก็บข้อมูลเพื่อสร้างคู่มือการจัดการเรียนรู้ศิลปะโดยใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้จากสภาพจริง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ และสามารถปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักเรียน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองปราณบุรี ควรเตรียมสื่อประกอบอื่น ๆ
1.2 ควรกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินการเป็นไป
ด้วยความเรียนร้อย สำเร็จตามเวลาที่กำหนด
1.3 บางกิจกรรมมีการศึกษานอกสถานที่ ครูควรเตรียมสถานที่ที่เป็นแหล่งเรียนรู้
และเตรียมผู้เรียนให้พร้อม