การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีน โดยใช้แบบฝึกทักษะ
เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
ชื่อผู้วิจัย นางสาวลดาวัลย์ สุวรรโณ
สอนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ ปีการศึกษา ๒๕๖๘
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน)
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การศึกษาเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากในการใช้ชีวิต การศึกษาไม่ว่าจะเป็นการศึกษาค้นคว้าภายในห้องเรียนโดยมีครูผู้สอน และการศึกษานอกห้องเรียนโดยที่ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ความรู้ในเรื่องที่ต้องการจะศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาแบบใดก็ล้วนมีความสำคัญกับทุกคนทั้งสิ้น แต่หากไม่มีหลักสูตรเราจะสามารถดำเนินการเรียนการสอนได้อย่างไร การมีหลักสูตรการศึกษาจึงมีความสำคัญเช่นเดียวกัน ถ้าหากไม่มีหลักสูตร ผู้สอนทุกคนจะทำการสอนที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หลักสูตรคือสิ่งที่เราจะดำเนินการสอนได้บรรลุจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อกล่าวถึงการเรียนการสอน ต้องนึกถึงหลักสูตร ซึ่งหลักสูตรที่ใช้ในปัจจุบันนี้ก็คือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่ว่า มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองและพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ (somchit02) ซึ่งหลักสูตรแกนกลางนี้ ได้แบ่งกลุ่มสาระทั้งสิ้น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยีและกลุ่มภาษาต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองในด้านการทำกิจกรรมการใช้ชีวิตและยังได้ได้เรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระได้อีกด้วย
เมื่อกล่าวถึงกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้เรียนเป็นอย่างมาก ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอื่น ๆ ได้ซึ่งภาษาที่สามมีความจำเป็นมากในการสื่อสาร การใช้ในชีวิตประจำวัน ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ให้ผู้เรียนได้มีทักษะครบทั้ง 4 ด้าน ซึ่งหลักสูตรแกนกลางได้แบ่งตัวชี้วัด หรือมาตรฐานการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้อย่างมีศักยภาพ ในส่วนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ในส่วนของภาษาจีนนั้น ได้แบ่งเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ตามสาระต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการสื่อสาร การรู้ถึงวัฒนธรรมของประเทศจีน ให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาจีนได้ และทำให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพของตนเอง และให้ผู้เรียนมีเจตคติต่อภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ภาษาต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
จากการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาจีน ดังที่กล่าวมาข้างต้น คือ นักเรียนเขียนสัทอักษรพินอินไม่ถูกต้อง เขียนตามเสียงวรรณยุกต์ของภาษาจีนวางไม่ถูกตำแหน่ง ซึ่งภาษาจีนเป็นภาษาที่สำคัญภาษาหนึ่ง ภาษาจีนมีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง และยังมีพยัญชนะและสระอีกมากมาย ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสน เขียนผิดบ้าง ถูกบ้าง ซึ่งการเขียนผิด อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ การ เขียนสัทอักษรพินอินได้ถูกต้องตามหลักการเขียนจึงมีความสำคัญมาก ที่ผู้เรียนจะต้องใช้ภาษาจีนในการสื่อสาร เพื่อพัฒนาตนเอง
การจัดการปัญหานักเรียนเขียนไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนตามสัทอักษรพินอินนั้น นวัตกรรมที่ได้นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาผู้เรียนเขียนไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนตามสัทอักษรพินอิน คือ ชุดฝึกการเขียนสะกดคำ เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้หลักการเขียนสัทอักษรพินอินและการผันเสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนได้อย่างถูกต้อง และสามารถใช้ภาษาจีนในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ได้จากนวัตกรรมนี้ อาจทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การเขียนที่ถูกต้อง ฝึกการสะกดคำ ฝึกการผันเสียง เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่มีความถูกต้องและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและนำไปเผยแพร่ให้กับผู้อื่นได้
การจัดการกับปัญหาในเรื่องการเขียนในรายวิชาภาษาจีน จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เขียนที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปต่อยอดในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น และเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้องและสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในเรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ก่อนที่จะสื่อสารได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนต้องเกิดการเรียนรู้การเขียนที่ถูกต้องก่อนเป็นอันดับแรก จึงสามารถสื่อสารได้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อพัฒนาทักษะเขียนสัทอักษรพินอินของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำโดยมีวัตถุประสงค์ย่อยดังนี้
1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสัทอักษรพินอินของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ
คำถามของการวิจัย
1. หลังการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ เพื่อช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแจ้งวิทยา จังหวัดสงขลามีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าก่อนการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำคำหรือไม่
สมมติฐานการวิจัย
1. ทักษะการเขียนสัทอักษรพินอินของนักเรียนหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสูงขึ้น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรพินอินของนักเรียน
2. เป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนให้สูงขึ้น
ขอบเขตของการวิจัย
ด้านเนื้อหา
การพัฒนาการการเขียนสัทอักษรพินอิน ของนักเรียนชั้นศึกษาประถมปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้แก่
1. พยัญชนะในภาษาจีน
2. สระในภาษาจีน
3. เสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีน
ประชากรละกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 36 คน โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยได้มาจากการสุ่มกลุ่ม
เครื่องมือในการวิจัยการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือในการวิจัย
1. เครื่องมือประเภทนวัตกรรม: ชุดฝึกการเขียนสะกดคำ และ แผนการจัดการเรียนรู้
2. เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล: แบบทดสอบ (Pre-test, Post-test) และแบบสอบถามความพึงพอใจ
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการวิจัยผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือในการศึกษา ดังต่อไปนี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้ โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
1.2 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา
1.3 ศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน)
1.4 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการอ่านสะกดคำ
1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบ ดังนี้
1.5.1 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1.5.2 จุดประสงค์การเรียนรู้
1.5.3 สาระสำคัญ
1.5.4 สาระการเรียนรู้
1.5.5 กิจกรรมการเรียนรู้
1.5.6 สื่อ
1.5.7 การวัดและประเมินผล
1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จแล้วให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ ความถูกต้อง ความเหมาะสมของกิจกรรมในการสอนแต่ละครั้งและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ภาษาจีนจำนวน 3 คน ตรวจสอบ
1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2568 14 กรกฎาคม 2568 โดยผู้วิจัยดำเนินการทดลองตามขั้นตอนดังนี้
1. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 นาที
2. ตรวจให้คะแนนและนำคะแนนที่ได้ไปหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
3. ทำการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาจีน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นกลุ่ม-ตัวอย่าง
4. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนจำนวน 10 นาที
5. นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจ ต่อวิธีสอนใช้เวลา 10 นาที
6. ตรวจให้คะแนน และนำคะแนนที่ได้ไปหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทำการวิเคราะห์โดยใช้วิธีทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1 หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียน
2 หาค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบฝึกหัดที่นักเรียนทำระหว่างการดำเนินการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ
3 หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียน และหาค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน
4 หาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและจัดระดับความพึงพอใจ
5 ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
การทำวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 36 คน โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling )
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.) แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2 แผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง สัทอักษรจีน(พินอิน) และ เรื่องสระและวรรณยุกต์
2.) ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน จำนวน 2 ชุด/กิจกรรม 3.) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) เรื่อง สัทอักษรจีน(พินอิน) และ เรื่องสระและวรรณยุกต์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งใช้ในการทดสอบนักเรียนก่อนและหลังใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบและเขียน มี 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ จำนวน 1 ฉบับ
การวิเคราะห์ข้อมูล ทำได้โดยการวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบน-มาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนที่ได้จากการทดสอบ
สรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัยสรุปและนำเสนอตามลำดับดังนี้
1. หลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 100 จำนวนทั้งหมด 30 คน ซึ้งไม่มีนักเรียนที่มีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์
2. ก่อนเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน นักเรียนมีคะแนนสูงสุดได้ 7 คะแนน คะแนนต่ำสุด 2 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( ) 4.73 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.33 คะแนนและหลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน นักเรียนทำคะแนนได้สูงสุด 10 คะแนน คะแนนต่ำสุด 7 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( ) 8.63 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.91 คะแนน แสดงให้เห็นว่า หลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสัทอักษรจีน นักเรียนมีทักษะการเขียนที่สูงกว่าก่อนเรียน
อภิปรายผล
จากผลการวิจัยสามารถอภิปรายผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน หลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า หลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกด นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียน กระตือรือร้น และมีความพยามยามที่จะพัฒนา ฝึกฝนในการเขียน
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พบว่า หลังจากที่นักเรียนเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียน สูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียน กระตือรือร้น และมีความพยามยามที่จะพัฒนา ฝึกฝนในการอ่านออกเสียง ซึ่งสอดคล้องกับอิ้นหลิงเอี้ยน (2004) ได้ทำการวิจัย เรื่องการสอนตัวอักษรจีนสำหรับชาวต่างชาติ โดยใช้วิธีการสอนแบบส่วนประกอบการวิจัยเสนอใช้วิธีการสอนแบบส่วนประกอบแก้ปัญหาทักษะการเขียนตัวอักษรจีน สำหรับนักเรียนชาวต่างชาติผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารในด้านลักษณะตัวอักษรจีน จิตวิทยาการศึกษาและการปฏิบัติการเรียนการสอนตัวอักษรจีน พบว่าควรใช้วิธีการสอนแบบส่วนประกอบสอนนักเรียนชาวต่างชาติเขียนตัวอักษรจีน
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้สอน
ครูผู้สอนควรหาแนวทางพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีนโดยใช้ชุดฝึก ดังนี้
1. ผู้สอนต้องพิจารณาว่าชุดฝึกการเขียนสะกดที่ใช้นั้นสอดคล้องกับเนื้อหาของบทเรียนหรือไม่
2. ชุดฝึกการเขียนสะกดคำที่มอบหมายให้ผู้เรียนทำต้องเป็นการเขียนที่ไม่ยาก ไม่ยาว และไม่มีความซับซ้อนจนเกินไป และพร้อมอยู่เสมอที่จะให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนในกรณีที่ผู้เรียนมีปัญหา
3. ผู้สอนต้องตรวจงานเขียนของผู้เรียนและสรุปประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ผู้เรียน
ส่วนใหญ่มีจากการใช้ชุดฝึกการเขียนสะกดคำเพื่ออภิปรายในชั้นเรียน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ในสิ่งที่ถูกต้อง
4. ชุดฝึกการเขียนสะกดคำกล่าวถึงในงานวิจัยนี้สามารถใช้กับผู้เรียนในระดับประถม มัธยมและอุดมศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้ด้านภาษาจีน เช่น คำ คำศัพท์ ไวยากรณ์ เป็นต้น
5. ควรใช้ชุดฝึกเป็นกิจกรรมการเขียนสะกดคำเสริมเพิ่มความหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝน เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน และกิจกรรมการเขียนสะกดคำนั้นยังสัมพันธ์กับทักษะการฟังการอ่านอีกด้วย
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้เรียน
การใช้ชุดฝึกการเขียนสะกดคำ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน นั้น ผู้เรียน
ควรปฏิบัติดังนี้
1. หมั่นเข้าไปเขียนเมื่อมีโอกาสเพื่อให้เกิดความถูกต้องและรวดเร็ว (ทักษะ)
2. นักศึกษาต้องมีทักษะพื้นฐานในการใช้คำ กลุ่มคำ คำศัพท์ ประโยคและไวยากรณ์
เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนควรมีทักษะด้านการฟังด้วย เพราะว่าการเขียนสะกดคำต้องใช้ทั้งสองทักษะ คือ การฟังและการเขียนควบคู่กันไป
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเขียนสัทอักษรจีน โดยใช้วิธีการอื่นๆ
และเปรียบเทียบกับการใช้ชุดฝึก
2. ควรมีการวิจัยเปรียบเทียบทักษะการเขียนสัทอักษรจีน โดยใช้ชุดฝึกของนักเรียน ระดับประถม ในโรงเรียนอื่นๆ
3. ควรทำการวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียน
4. ควรมีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึกการเขียนสะกดคำ
ของนักเรียนที่มีผลการเรียนต่างกัน คือ ระดับดี ปานกลาง และอ่อน