ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ)
ชื่อผู้วิจัย เพ็ญนภา สีหาโคตร
ปีที่ศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์เกี่ยวกับ การจัดการเรียนโดยบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) 4) เพื่อประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) ผู้ให้ข้อมูลหลักในสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์เกี่ยวกับ การจัดการเรียนโดยบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ เป็นครู คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และนักเรียน รวม 19 คน ประชากรเป็น ครู 9 คน นักเรียน 52 คน และกลุ่มเป้าหมายในการถอดบทเรียน จำนวน 19 คน ประกอบด้วย ครู 9 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง 5 คน และนักเรียน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน แบบทดสอบ แบบประเมินความเหมาะสมรูปแบบ แบบประเมินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบประเมินการมีส่วนร่วมในการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบประเมินทักษะด้านอาชีพของนักเรียนและแบบประเมินความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t test (dependent) การวิเคราะห์เนื้อหา และการถอดบทเรียน ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์เกี่ยวกับการจัดการเรียนโดยบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ พบว่า โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) ต้องมีการบริหารจัดการโดยใช้แนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชน บุคคลากรในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้ที่มีความรู้ความสามารถต่างๆ ในท้องถิ่นมาช่วยในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรมอีกทั้งควรพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเน้นให้นักเรียนเกิดทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ ที่ส่งเสริมให้บุคคลมีความรู้ ความเข้าใจ มีความสนใจและความถนัดที่สอดคล้องกับงาน และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นนิสัยรักการทำงานและจริยธรรมในการทำงาน
2. ผลการสร้างรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) ในรูปแบบ PCCC Model ประกอบด้วย 1) การวางแผน และพัฒนาความรู้ (Planning and Development : P) 2) การมีส่วนร่วม (Community Participation : C) 3) การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น (Curriculum : C) 4) ทักษะอาชีพ (Career Skills : C)
3. การทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) โดยดำเนินการการจัดอบรม การบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน ทำการทดสอบก่อนและหลังการอบรม พบว่า การทดสอบความรู้ความสามารถของครูก่อนและหลังการอบรม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.89 และหลังอบรม 16.44 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการอบรม พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01
4. การประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ)
1) ประเมินระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
2) ประเมินการมีส่วนร่วมในการจัดการภูมิปัญญาท้องถิ่นค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
3) ประเมินทักษะด้านอาชีพของนักเรียนค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
4) ประเมินความคิดเห็นของครูที่มีต่อรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
5) ประเมินความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
การถอดบทเรียน พบว่า กิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนได้ให้ชุมชน แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง การพัฒนาครูให้มีความรู้ทางด้านการจัดกิจกรรมการสอน ผลที่ได้จากการพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ และสามารถนำทักษะความรู้ต่างๆ ย้อนกลับลงสู่นักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักเรียนมีความสนใจ ใฝ่รู้มากขึ้น นักเรียนมีความรู้ ตามสาระการเรียนรู้ที่เรียน และมีทักษะการเรียนรู้ ทักษะในการแก้ปัญหาที่ไปสู่การเรียนรู้ที่ยั่งยืน นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ทั้งระดับสถานศึกษาและระดับระดับชาติ ในการดำเนินงานการพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนต่างๆ ของโรงเรียน โรงเรียนได้ให้บุคลากรต่างๆ รวมทั้งชุมชนได้เข้ามามี ส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน ผลที่ได้จากการพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงสร้างสรรค์อย่างมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน จึงสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและนักเรียนโดยตรง ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี
ชื่อเรื่อง การประเมินผลและถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักศาสตร์พระราชาเพื่อเสริมสร้างโรงเรียนพอเพียงท้องถิ่น โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ)
ชื่อผู้ประเมิน เพ็ญนภา สีหาโคตร
ปีที่ศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักศาสตร์พระราชาเพื่อเสริมสร้างโรงเรียนพอเพียงท้องถิ่น โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านค้อ) ในด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต ด้านผลกระทบ ด้านประสิทธิผล ด้านความยั่งยืน และด้านการถ่ายโยงความรู้ 2) ศึกษาแนวทาง การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักศาสตร์พระราชา รูปแบบการประเมินเป็นการวิจัยเชิงประเมินโดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPPiest ของ Stufflebeam ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์สรุปตีความผล การประเมิน กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ ครู 9 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง 59 คน และนักเรียน 52 คน ทดลอง ปีการศึกษา 2567 ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง และนักเรียน จำนวน 19 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการประเมิน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการประเมินโครงการพบว่า 1) ด้านบริบท ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการระดับมาก 2) ด้านปัจจัยนำเข้า ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการในระดับมาก 4) ด้านผลผลิต ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง และนักเรียน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการในระดับมาก 5) ด้านผลกระทบ ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง และนักเรียน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการในระดับมาก 6) ด้านประสิทธิผล ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการในระดับมาก 7) ด้านความยั่งยืน ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการ ในระดับมาก 8) ด้านการถ่ายโยงความรู้ ครูมีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานโครงการอยู่ในระดับมาก ส่วนแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักศาสตร์พระราชา พบว่า ควรยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นหนึ่งในหลักศาสตร์พระราชา โดยใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างพอดี คุ้มค่า และไม่สิ้นเปลือง วางแผนการใช้ไฟฟ้า น้ำ และวัสดุสิ้นเปลืองด้วยข้อมูล ที่ถูกต้อง พร้อมทั้งสร้างระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนควรปลูกฝังจิตสำนึกให้ครู นักเรียน และบุคลากรเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรม เช่น การจัดการขยะ การปลูกต้นไม้ และการใช้นวัตกรรมพลังงานทดแทน ทั้งนี้ต้องส่งเสริมความรู้ ควบคู่กับคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างวัฒนธรรมการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน และเป็นแบบอย่างแก่ชุมชนโดยรอบ