ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับ
การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้
โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕
ผู้วิจัย นางณปภัช ลิ้มพงศ์ธร
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
ปีที่ทำการวิจัย ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖
บทคัดย่อ
ในการพัฒนาครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ ๑) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ ๒) สร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ๓) ศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ดังนี้ ๓.๑) หาประสิทธิภาพของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๓.๒) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ๓.๓) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ๓.๔) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ๓.๔) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และ ๔) เพื่อประเมินการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยแบ่งเป็น ๔ ระยะ ระยะที่ ๑ กลุ่มเป้าหมายคือ ครูผู้สอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ จำนวน ๕ คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๑๒ คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณ์ ระยะที่ ๒ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๗ คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง (Try-Out) คือ นักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ทั้งหมดจำนวน ๓๖ คน ได้แก่ ทดลองแบบเดี่ยว จำนวน ๓ คน ทดลองแบบกลุ่มเล็ก จำนวน ๙ คน และ ทดลองภาคสนาม จำนวน ๒๔ คน (ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจริง) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบประเมินรูปแบบ และเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบ ระยะที่ ๓ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๓๔ คน ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนเทศบาลวัดเหนือ สำนักการศึกษา เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ ๑) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน ๑๔ แผน ๒) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ ๐.๓๐ ๐.๗๘ และมีค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ ๐.๒๖ ๐.๗๕ และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ ๐.๙๓ ๓) แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์
มีค่า IOC ตั้งแต่ ๐.๖๐ ๑.๐๐ ๔) แบบประเมินทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ และ ๕) แบบวัดความพึงพอใจ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ ๐.๘๐ ๑.๐๐ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (rxy) ตั้งแต่ ๐.๒๗- ๐.๗๘ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ ๐.๘๘ ระยะที่ ๔ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จำนวน ๑๔ คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมินความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test (Dependent Sample)
ผลการวิจัยพบว่า
๑. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พบว่า ครูผู้สอนรายวิชาคอมพิวเตอร์มีปัญหามากที่สุดในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และปัญหาด้านการวัดและประเมินผล ปัญหาของนักเรียนคือ แต่ละคนสร้างความรู้ความเข้าใจได้ไม่เหมือนกัน นักเรียนต้องการวิธีการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะให้นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึกทำด้วยตนเอง ครูยังไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกคิดค้นหาวิธีการตามแนวทางใหม่ ๆ จึงส่งผลให้นักเรียนขาดความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้โปรแกรมต่าง ๆ
๒. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ (PIPCE Model) มีองค์ประกอบที่พัฒนาขึ้น ๖ องค์ประกอบ คือ ๑) หลักการ ๒) วัตถุประสงค์ ๓) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ๔) ระบบสังคม ๕) หลักการตอบสนอง และ ๖) สิ่งสนับสนุน และกระบวนการจัดการเรียนรู้มี ๕ ขั้นตอน คือ ขั้นที่ ๑ ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparing : P) ขั้นที่ ๒ การแสวงหาความรู้ใหม่ (Interaction : P) ขั้นที่ ๓ ขั้นฝึกทักษะและการนำไปใช้ (Practice and applying : P) ขั้นที่ ๔ ขั้นสื่อสารและนำเสนอ (Communication and presentation : P) และ ขั้นที่ ๕ ขั้นประเมินผล (Evaluation : E) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีคุณภาพเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๕๒
๓. ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ (PIPCE Model) พบว่า ๑) ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ (E๑/E๒) เท่ากับ ๘๕.๓๕/๘๒.๗๙ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ ๒) นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๓) นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๔) นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๕) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
๔. ผลการประเมินความคิดเห็นของครูผู้สอนรายวิชาคอมพิวเตอร์มีความคิดเห็นต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้โปรแกรมมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ (PIPCE Model) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก