ห่วงเวลาปัจจุบันถือเป็นยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนามาจากโลกไร้พรมแดนหรือโลกาวิวัฒน์ที่พัฒนาในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด โดยคนทั่วทุกมุมโลกสามารถติดต่อสื่อสารข้ามทวีปได้โดยง่ายและสะดวก
หากพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรโลก การเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงโลกและพัฒนาการศึกษาภายใต้ยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 นั้นได้กล่าวถึงการศึกษากับการพัฒนาสังคมเป็นหลักสำคัญโดยรวมของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาซึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันได้มุ่งเน้นในมิติของการพัฒนา 4 มิติ ที่สำคัญ ได้แก่ การปฏิรูปนักเรียนยุคใหม่
การปฏิรูปครูยุคใหม่ การปฏิรูปโรงเรียนยุคใหม่ หรือแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่และการปฏิรูประบบบริหารจัดการ
ยุคใหม่ ซึ่งในทุกมิตินั้นจะมีความสอดรับสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุผลของการปฏิรูป
การศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 (สุรศักดิ์ ปาเฮ, 2556 อ้างถึงใน อมรรัตน์ เตชะนอก, รัชนี จรุงศิรวัฒน์, พระฮอนด้า วาทสทฺ โท, 2563: 2-3) โดยสอดคล้องกับ ฮิวจ์ เดลานี ซึ่งเขากล่าวว่า การศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21 ย้ำให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่ประเทศต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นและระบบการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวโดยไม่ใช่แค่การปฏิรูปเพียงครั้งคราวแต่ต้องเป็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของเยาวชน สังคม และตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งการศึกษาไทยควรจะมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและสอดคล้องกับสังคมในอนาคต (ฮิวจ์ เดลานี, 2019)
การศึกษาในประเทศไทยนั้นมีปัญหามาอย่างช้านาน โดยหลายคนอาจมองว่าเป็นที่ตัวผู้สอนนั้นไม่สามารถจัดการปัญหาในเรื่องของการจัดกิจกรรมให้ดีได้หรือบ้างอาจกล่าวถึงผู้สอนว่าสอนได้น่าเบื่อ สอนไม่เข้าใจ หรือแม้แต่สอนแล้วทำให้เด็กง่วงนอนตลอดจนตัวผู้สอนเองก็อาจโยนปัญหานั้นให้กับผู้เรียนบ้างในบางครั้ง เช่น ผู้เรียนไม่ตั้งใจเรียนจึงทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลงแต่ผู้จัดทำวิจัยมองว่า ปัญหาของการศึกษาไทยนั้นไม่ได้มีเพียงตัวผู้สอนหรือตัวของผู้เรียนเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นอาจมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับ ดร.ประหยัด พิมพา (2018, น. 243-244) ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อแนวโน้มของการศึกษาในประเทศแท้จริงแล้วไม่ได้มีเพียงเรื่องของกระบวนการสอน ครูผู้สอน หรือตัวเด็กเองเท่านั้นแต่รวมไปถึงปัจจัยภายนอกที่สำคัญและมีผลกับความสำเร็จ อีกทั้งการพัฒนาของการศึกษาในประเทศจะพัฒนาได้ดีขึ้นมากน้อยเพียงใดเพื่อเจริญทัดเทียมหรือมากกว่าประเทศอื่น ๆ ได้นั้น จึงจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ศึกษาปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ด้วย
ปัญหาของการศึกษาไทยดังกล่าวทำให้กระทบในหลายสาระการเรียนรู้ซึ่งสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นอีกหนึ่งสาระที่ได้รับผลกระทบ คือ เมื่อผู้สอนหรือผู้เรียนได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาลดลงเมื่อพบเจอปัญหาจึงเกิดแนวทางการแก้ไขเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์และพัฒนาศักยภาพ อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อแนวโน้มของการศึกษาในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อีกด้วย ซึ่งแนวทางในการแก้ไขมีหลายปัจจัย ดังนี้ 1.) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาดการศึกษา 2.) ปัจจัยด้านระบบราชการ 3.) ปัจจัยด้านการเมือง 4.) ปัจจัยด้านวัฒนธรรม 5.) ปัจจัยด้านเทคโนโลยีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีผลต่อการกำหนดคุณสมบัติและคุณภาพของแรงงานในอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการขนส่ง เทคโนโลยีการผลิต นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพ (ดร.ประหยัด พิมพา, 2018)
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของของเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาดังกล่าวถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงระหว่างเทคโนโลยีกับการศึกษาจึงได้ดำเนินการจัดทำคลังเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ OBEC Content Center เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนานักเรียนและครูบุคลากร
ทางการศึกษาในการจัดการเรียนรู้ให้ทันต่อเทคโนโลยีสามารถศึกษาและนำเนื้อหาภายในระบบ
OBEC Content Center มาปรับใช้ในห้องเรียนของตนเองและนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาที่ว่า เรียนดี มีความสุข เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เรียนฟรี มีงานทำ ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีระบบหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (กระทรวงศึกษา, ออนไลน์)
ดังที่กล่าวมาข้างต้น ผู้จัดทำจึงเล็งเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการศึกษา
ในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ดังนั้นผู้จัดทำจึงมีแนวคิดพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และสามารถพัฒนาผลการเรียนให้มีประสิทธิภาพ
จึงดำเนินการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ประเภท ผู้ใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล โครงการบริหารจัดการและสนับสนุนส่งเสริมการใช้งานคลังความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยใช้สื่อประเภทมัลติมิเดีย และวีดีโอ ภายใต้ชื่อ การพัฒนาการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง แผนที่เฉพาะเรื่อง โดยใช้ Teams Games Toumament (TGT) ร่วมกับสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบ OBEC Content Center พร้อมทั้งนำหลักการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อการสอน โดยใช้รูปแบบจำลองที่เรียกว่า The ASSURE Model ของไฮนิคและคณะ (อ้างถึงใน วัลลี ศักดิ์สุวรรณ, 2563: 1-2) มาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงในการพัฒนาทักษะที่มุ่งเน้นสู่การพัฒนานักเรียน